ติดเซ็กส์

Lakkana Punwichai

“ดร. วัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยาและ อาจารย์ประจำคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรต เปิดเผยว่า ประเทศไทยเริ่มมีโรคติดเซ็กส์มาตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว แต่นับวันยิ่งมีการระบาดของโรคนี้มากขึ้น โดยกลุ่มที่น่าเป็นห่วงขณะนี้ คือผู้หญิงและวัยรุ่นไทย โดยผู้ป่วยจะมีพฤติกรรม 4 ขั้นคือ มักสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง ชอบโชว์โป๊ แอบดู ซึ่งหมายรวมถึงการดูภาพโป๊ในอินเทอร์เน็ต วีซีดี และขั้นสุดท้ายคือการค้าประเวณีเพื่อหาความสุขทางเพศไม่ใช่เพื่อเงิน ทั้งนี้สาเหตุเกิดจากบุคคลเหล่านี้ในวัยเด็กได้รับสื่อลามก ซึ่งในอเมริกามีประชากรประมาณ 3-6% เป็นโรคดังกล่าว…ผู้ชายที่มีต้นทุนทางสังคมดีจะถูกผู้ป่วยเซ็กส์แอดดิคส์มาขอนอนด้วยบ่อยมาก ซ้ำบางคนมีอารมณ์รุนแรงสามารถร่วมได้ 5 คนต่อคืน หรือถึงแต่งงานแล้วก็ยังอดมีชู้ต่อไปเรื่อยๆไม่ได้

นางพรนิภา ลิปพยอม เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) เปิดเผยว่า นายอดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้เรียกผู้บริหารที่เกี่ยวข้องมาปรึกษา เพื่อหาคำที่เหมะสมแทนคำว่าพลอดรัก ในการใช้เรียกพฤติกรรมทางเพศของวัยรุ่น ทั้งนี้เนื้อหาจะระบุว่า นักเรียนอายุเท่าไรไม่ควรเล่นเซ็กส์ในที่สาธารณะ คาดว่าเมื่อได้ข้อสรุปที่ลงตัว นายอดิศัยจะประกาศใช้ทันที โดยหวังว่าจะช่วยลดจำนวนนักเรียนที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ได้ (มติชนรายวัน อังคารที่ 7 กันยายน 2547)”

เนื้อข่าวที่คัดมาข้างต้นนี้คงผ่านสายตาใครต่อใครไปบ้างแล้ว ตัวฉันเองอ่านไปก็ได้คราง อู้ส์ อ้าส์กับตัวเอง ครางเพราะตกใจว่าโรคเสพติดเซ็กส์ (ข่าววันรุ่งขึ้น นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีธัญญา ออกมาโต้ว่าการติดเซ็กส์ไม่ใช่โรค ไม่ใช่ความป่วยไข้ อย่ามั่ว) นั้นกลายเป็นโรคระบาดเหมือนไข้หวัดนกไปตั้งแต่เมื่อไรไม่ทันรู้ เพราะเห็นในข่าวเขียนว่า “นับวันยิ่งมีการระบาดของโรคนี้มากขึ้น” แถมกลุ่มที่เสี่ยงต่อการระบาดของ (เชื้อ) โรคชนิดนี้คือ ผู้หญิงกับวัยรุ่น ถ้ายังทนอ่านข่าวนี้ต่อไปก็จะพบอีกว่า ตามความเห็น (หรือจากการวิจัย) ของดร. วัลลภนั้นเห็นว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเซ็กส์คือ “ผู้ชายที่มีต้นทุนทางสังคมดี” เพราะผู้ชายเหล่านี้จะได้รับความเดือดร้อนอันเนื่องมาจากการถูกผู้หญิงติดเซ็กส์ทั้งสาวทั้งแก่มาขอร่วมเพศด้วย

“ผมเองเปิดคลีนิครับปรึกษาพร้อมบำบัด ยังเคยถูกคนไข้ผู้หญิงอายุ 30ปีโกหก มาขอมีเพศสัมพันธ์ด้วยต่อหน้าสามี เพราะสามีบังคับแต่เขาโกหก ความจริงเขาอยากมีเอง…ล่าสุดมีหญิงวัยรุ่นอายุเพียง 16-17ปีมาทำทีขอคำปรึกษาแล้วขอมีเพศสัมพันธ์เช่นกัน”

pornography-cloud

เมื่ออ่านข่าวนี้จบก็ได้ความรู้ว่า การติดเซ็กส์นอกจากจะเป็น “โรค” หรือ “ความป่วยไข้” อย่างหนึ่งแล้ว ยังมีสถานะเปรียบเสมือนโรคระบาด และมักระบาดรุนแรงในหมู่เพศหญิงและเด็กวัยรุ่น ส่วนผู้ที่ได้รับผลกระทบหรือได้รับความเดือดร้อนคือผู้ชายดีๆ อย่างเช่นดร.ผู้ออกมาให้ข้อมูล เพราะจะถูกสาวๆหื่นกามคอยติดตาม และใช้เล่ห์กลต่างๆนาๆมาหลอกฟัน

ปกติแล้วเราจะติดเชื้อโรคระบาดไม่ว่าจะเป็นหวัด อหิวาห์ หรืออะไรก็ตามก็ต่อเมื่อร่างกายของเราอ่อนแอ ขาดภูมิต้านทาน ดังนั้นจากข้อมูลข้างต้นก็พอจะอนุมานได้ว่า เหล่าเพศหญิงและเด็กวัยรุ่นคือกลุ่มประชากรที่ทั้ง “อ่อนแอ” และ “ภูมิคุ้มกันบกพร่อง”  (และเนื่องจากโรคนี้เป็นโรคทางจิตมากกว่าทางกาย อาการภูมิคุ้มกันบกพร่องนี้จึงส่อว่าเป็นการบกพร่องทางปัญญา พูดภาษาชาวบ้านคือ ผู้หญิงและวัยรุ่นนั้นทั้งโง่ทั้งดื้อจึงตกเป็นเหยื่ออะไรต่อมิอะไรได้ง่ายดาย) เป็นเพศและวัยที่อ่อนไหวต่อการติดเชื้อ สมควรที่จะได้รับการปกป้อง ป้องกัน ตรวจตรา และดูแลอย่างใกล้ชิด ส่วนผู้ชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ชายที่มี “ต้นทุนทางสังคมดี” นั้นดูจะเป็นเพศที่แข็งแรง ฉลาด มีภูมิคุ้มกัน ไม่อ่อนแอ จึงยากที่จะตกเป็นเหยื่อของการระบาดของโรคนี้

โอย…คิดแล้วขอลาไปตายและขอเกิดใหม่เป็นผู้ชายที่มี “ต้นทุนทางสังคมดี” ทุกชาติไป เพื่อจะได้มีสาวน้อยสาวใหญ่มาขอนอนด้วยไม่ขาดสาย

และหากใช้นิยามว่าด้วยการติดเซ็กส์อย่างที่ว่ามา ฉันก็คงเข้าข่ายคนติดเซ็กส์กับเขาไปด้วย เพราะหากจะถามว่าสิ่งที่ให้ความสุขอย่างยิ่งยวดแก่ชีวิตนี้มีอะไรบ้าง หนึ่งในไม่กี่คำตอบนั้นก็คือเซ็กส์ฉันรู้จักที่จะช่วยตัวเองตั้งแต่แปดหรือเก้าขวบจำไม่ได้ แต่จำได้ถึงจุดสุดยอดครั้งแรกในชีวิตที่บังเอิญเอานิ้วไปเล่น “แถวๆนั้น” พลันบังเกิดความซาบซ่านหฤหรรษ์อย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาทำมาอย่างไม่หยุดหย่อนจวบจนถึงทุกวันนี้วันไหนผู้ชายตัวเป็นๆที่นอนอยู่ข้างๆเกิดหลับไหลไม่ยอมตื่น ฉันก็เตรียมพร้อมที่จะจัดการกับตนเอง ยิ่งแก่ตัวลง เทคนิคที่จะช่วยตัวเองก็ยิ่งแพรวพราวมีการตระเตรียมชุดนอนแสนยวนใจ เปิดเพลง จุดเทียน ฉีดน้ำหอม บางทีมีครวญคราง ส่งเสียง เป็นความสุขส่วนตั๊วส่วนตัว

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องตื่นขึ้นมาปลุกปล้ำผู้ชายที่นอนอยู่ข้างๆตอนกลางดึกหรือรุ่งสาง แหม…ก็คุณพี่เล่นนอนนุ่งกางเกงตัวเดียว พลิกกันไปชนกันมา เห็นท่อนลำแข็งแรง ฟิตปั๋งออกอย่างนั้น น้องจะทนไหวฤา?

คุณหมอคะ…หนูต้องไปบำบัดอาการติดเซ็กส์ที่ไหนดี? เพราะขืนหนูยังดื้อแพ่งไม่รีบเข้ารับการรักษา ประเดี๋ยวโรคนี้จะบาดไปยังผู้ที่อยู่ใกล้ๆ เผลอๆผู้อ่านทั้งหลายที่ติดคอลัมน์หนูยังกะติดฝิ่นจะพลอยฟ้าพลอยฝนติดโรคติดเซ็กส์ไปจากหนูด้วย โอว…แล้วลองจินตนาการว่าผู้ชายดีๆ ที่เป็นหมอเอย เป็นทนายความเอย เป็นวิศวกรเอย นักการเมืองหล่อๆอย่างคุณอภิสิทธิ์เอย คุณอภิรักษ์เอย คุณจาตุรนต์เอย จะต้องถูกผู้หญิงป่วยด้วยโรคติดเซ็กส์วิ่งไล่ขอนอนด้วยจนไม่เป็นอันทำงาน

เอาละ ฉันจะเลิกประชดเลิกแดกดัน แล้วหันมาเข้าเรื่องเสียที ว่าทำไมข้อมูลนี้มันจึงน่าเอามายำใหญ่ใส่ความฮาเป็นยิ่งนัก ไม่ต้องไปพูดถึงความผิดพลาดที่เห็นชัดๆอย่างการนิยมว่า “การติดเซ็กส์” เป็นโรค เพราะผอ. โรงพยาบาลศรีธัญญาก็ออกมาบอกแล้วว่ามันไม่ใช่โรค ไม่ใช่ความป่วยไข้ แต่การติดเซ็กส์ก็เหมือนการติดเหล้า การติดการพนัน ติดเกมแรกนาร็อค ติดคอลัมน์คุณโตมร ติดนิตยสารจีเอ็ม ติดมติชนสุดสัปดาห์ ฯลฯจะมองว่ามันเป็นปัญหาทางสังคมนั้นก็ย่อมมองได้ แต่ผิดแน่ถ้ามองว่ามันคือความป่วยไข้อย่างหนึ่ง

ไม่ต้องพูดถึงการอ้างว่าโรคนี้ “ระบาด” มาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เพราะไม่ทราบจริงๆว่า เทียบเคียงกับอะไรการที่คนสมัยนี้ดูหนังโป๊มากกว่าคนเมื่อ 20 ปีที่แล้วอาจจะไม่ใช่เพราะคนติดเซ็กส์มากขึ้น แต่เป็นเพราะธุรกิจหนังโป๊ขยายตัว การคมนาคมขนส่งที่สะดวกขึ้น เครื่องเล่นวิซีดีราคาถูกลง คนสมัยนี้มีเซ็กส์จริงๆน้อยลงเพราะกลัวเอดส์ลยชอบดูหนังโป๊แล้วช่วยตัวเองอยู่กับบ้าน และอีกร้อยแปดเหตุผลที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการติดเซ็กส์

หรือถ้าจะวัดจากคนที่เข้ารับการบำบัด ถ้าอย่างนั้นก็อาจพูดได้ว่า คนไทยในปัจจุบันเป็นโรคจิตมากขึ้นดูจากจำนวนคนไข้ที่เข้าพบจิตแพทย์ และจำนวนคนไข้แผนกจิตเวชทั้งนี้ก็อาจอธิบายได้เช่นกันว่า การเพิ่มจำนวนคนไข้ของแผนกจิตเวชไม่ใช่เพราะคนไทยเป็นโรคจิตมากขึ้น แต่เป็นเพราะทัศนคติที่มีต่อจิตแพทย์ และความรู้เกี่ยวกับจิตวิทยาที่เปลี่ยนแปลงไป คนไทยเริ่มเข้าใจว่าการไปหาจิตแพทย์ไม่จำเป็นต้องแปลว่าเป็นคนบ้า หรืออาจจะอธิบายว่าคนไทยสมัยนี้ไม่เชื่อหมอดูหรือไม่ยึดถือในศาสนาอีกต่อไป จิตแพทย์จึงเข้ามาทำหน้าที่เป็นที่พึ่งทางใจของคนสมัยใหม่ ดังนั้นจำนวนคนไข้ที่เข้ารับการบำบัดอาการติดเซ็กส์ที่มากขึ้นอาจเป็นเพราะสมัยก่อนคนคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองไม่ได้เป็นปัญหาจนต้องเข้ารับการรักษา เงี่ยนมากเงี่ยนบ่อยก็เรื่องของกู ชักว่าวก็เรื่องของกู จะปล้ำผัวคืนละ10หนก็เป็นเรื่องของกูกับผัวกู ถ้าผัวคนนี้ทนไม่ได้กูก็จะหาผัวใหม่ ไม่เกี่ยวกับหมอหรือหมาที่ไหน อะไรอย่างนั้น

red_bell

ลองตั้งสติพิจารณาข่าวนี้อีกครั้งจะพบว่า การติดเซ็กส์นั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ และเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย เช่นตัวฉันเองก็ติดเซ็กส์แต่ตราบใดที่การติดเซ็กส์นี้ไม่รบกวนการดำเนินชีวิตประจำวัน ฉันก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องบำบัด แถมยังรู้สึกดีที่ตัวเองกระชุมกระชวยมีเซ็กส์ดีๆได้วันละหลายครั้ง แต่ทำไมเรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใหญ่เปล่าเป็นเรื่องที่กระทรวงศึกษาธิการถึงกับจะคิดหาคำศัพท์ใหม่ๆแทนคำว่าพลอดรักหรืออะไรไปนู่น ยิ่งไปกว่านั้น ในระหว่างบรรทัดเราพบกว่า การติดเซ็กส์ของผู้ชายกลับไม่ใช่เรื่องน่าตระหนกเท่ากับการติดเซ็กส์ของผู้หญิง ซึ่งตามความหมายนี้มันเหวี่ยงให้เรากลับไปอยู่ในระบบคิดที่เชื่อว่า ผู้ชายเซ็กส์จัดเป็นเรื่องปกติ แต่ผู้หญิงเซ็กส์จัดคือผู้หญิงป่วย และเหวี่ยงเรากลับไปสู่จุดที่เชื่อว่าบทบาททางเพศของผู้หญิงคือเป็นฝ่ายรองรับความต้องการของเพศชาย และเหวี่ยงเรากลับไปสู่จุดของ “ดาวพระศุกร์” นั่นคือผู้หญิงดีๆนั้นมีหน้าที่รอให้ผู้ชายเข้ามาข่มขืน ผู้หญิงคนไหนสะเออะลุกขึ้นมาบิดตัวไปมาแล้วบอกว่า “ที่รักขา เงี่ยนเหลือเกิน” คือผู้หญิงที่เป็นฮิสทีเรีย (ในความหมายตามที่คนไทยเข้าใจและใช้กันโดยทั่วไป)

ที่น่าตระหนกว่านั้นคือการตีขลุมว่าการค้าประเวณีของเด็กสาวที่ไม่ขัดสนทางการเงินเป็นเรื่องของอาการขาดเซ็กส์ไม่ได้ของเด็กสาวเหล่านั้น มักง่ายไปหน่อยไหม? เพราะการขายตัวไม่ว่าจะเป็นของหญิง ชาย เกย์ และเพศอื่นๆอีกนั้นสัมพันธ์กับเงื่อนไขหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการรับรู้ต่อความหมายของ ความรัก, เพศ, เงิน, ร่างกาย, ทุน,กำไร, การเป็นสินค้า,ศาสนา, อนามัยการเจริญพันธ์, การรับรู้เกี่ยวกับทุกข์ สุขและความคาดหวังต่อการมีเพศสัมพันธ์ไปจนถึงสำนึกในฐานะที่ตนเป็นส่วนหนึ่งของรัฐของชาติ ของประเทศ 

อาการตื่นตระหนกอย่างรุนแรงจนแทบจะเรียกได้ว่าหากมีข่าวเช่นนี้ครั้งไร สังคม และกระทรวงศึกษาธิการจะต้องเกิดอาการ panic ขึ้นมาทันทีในกรณีที่มีข่าวเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ของ “เด็ก” ทั้งๆที่ย้อนประวัติศาสตร์ไปไม่ไกล ในกฏหมายลักษณะอาญาสมัยรัชกาลที่ 5 กำหนดอายุของเด็กไว้ที่ 12 ปี ข่มขืนหญิงอายุ 12 นั้นถือว่าเป็นการข่มขืนหญิงสาวไม่ใช่ “เด็ก” อ่านประวัติราชสกุลวงศ์จะพบว่าเจ้านายฝ่ายในบางคนมีลูกกันตั้งแต่อายุ 13 อายุ13 คืออายุตอนคลอด แสดงว่าท้องกันตั้งแต่อายุ 11-12 เพศสัมพันธ์ของเด็กจึงไม่ใช่เรื่องของอายุ แต่เป็นเรื่องของความหมาย และหน้าที่ ของ “เด็ก” ที่เปลี่ยนไปตามสภาพการเมือง (รูปแบบของรัฐ, การปกครอง) เศรษฐกิจ ทั้งนี้ยังเกี่ยวกับเรื่องชนชั้น และอื่นๆอีก

อาการตระหนกตกตื่นเช่นนี้บอกเราว่าตราบใดที่เราไม่เลิกมองเรื่องเพศในเชิงลามกจกเปรตหรือเป็นเรื่องอัปปรีย์จัญไรเพียงอย่างเดียวโดยไม่เคยเห็นมันเป็นหนึ่งในวิถีของชีวิตที่มีประวัติศาสตร์ มีการเปลี่ยนแปลง เชื่อมโยงอยู่กับปัจจัยทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองแล้ว เราก็จะวนเวียนอยู่กับการตระหนกและก่นด่าเด็กที่มีเซ็กส์บนรถเมล์ (ขณะเดียวกันก็เอนจอยกับการอ่านข่าวเหล่านี้เสียเหลือเกิน)

วันพรุ่งนี้เราก็รออ่านว่าเมื่อไรจะมีข่าวเด็กแอบเย็ดกันในห้าง ข้างถนน สวนสาธารณะ เขาเหล่านั้นเย็ดกันอย่างไร ล้วงอย่างไร ลูบอย่างไร เด็กผู้หญิงให้ท่าอย่างไร ยั่วยวนอย่างไร อ่านพลางซี้ดส์ พลางคราง พลางเอ็ดอึงว่า เด็กสมัยนี้มันสำส่อน เหมือนกับเวลาที่เราดูหนังโป๊ของน้องแน็ทพลางซี้ดส์พลางเสียวพลางประณามว่าผู้หญิงอะไรแร่ดฉิบหาย เป็นน้องเป็นนุ่งกูจะไม่เลี้ยงโอ้ววว ซี้ดส์ โอววว์แม่ง โอ้ว์นมใหญ่ฉิบ!

Lakkana Punwichai
Lakkana Punwichai is a writer who focusses on women, relationships, gender and contemporary issues