เดินย่องในย็อกยา

Deborah Homsher

         

ประกาศเตือนการเดินทาง-ประเทศอินโดนีเซีย  กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา วันที่ 10  เมษายน 2546

ประกาศเตือนการเดินทางฉบับนี้ออกมาเพื่อเตือนพลเมืองสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับการคุกคามต่อสวัสดิภาพในประเทศอินโดนีเซียที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ … เนื่องจากที่ทำการของสหรัฐอเมริกามีการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยยิ่งขึ้น  ผู้ก่อการร้ายจะหันไปหาเป้าหมายที่ง่ายต่อการโจมตีขึ้น  ซึ่งอาจจะรวมถึงสถานที่ต่าง ๆ ที่เป็นที่รู้กันว่าเป็นที่ที่ชาวอเมริกันพักพิง ชุมนุม และไปเยี่ยมชม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตามโรงแรม สถานเริงรมย์ ภัตตาคาร สถานที่ทางศาสนา โรงเรียน หรือกิจกรรมนันทนาการกลางแจ้ง … ชาวอเมริกันที่เดินทางหรือพักพิงอยู่ในประเทศอินโดนีเซีย ทั้ง ๆ ที่ทราบถึงคำประกาศเตือนควรอย่าพยายามไม่ทำตัวโดดเด่น   ควรจัดเวลาและเส้นทางในการเดินทางให้มีความแตกต่างกันออกไปในแต่ละครั้ง  และขอให้ตื่นตัวเต็มที่ตลอดเวลาเกี่ยวกับสิ่งของและผู้คนรอบตัว… มีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดความรุนแรงและไม่สงบ ซึ่งอาจจะปะทุขึ้นได้โดยแทบไม่รู้ตัว อันตรายซึ่งรวมถึงการก่อการร้ายที่อาจเกิดขึ้นซึ่งมีอยู่ในภูมิภาคต่าง ๆ ของอินโดนีเซียเช่น กรุงจาการ์ตา ย็อกยาการ์ตา สุราบายา กะลิมันตัน และสุลาเวสี

ฉันและสามีบินไปเกาะชวาทั้ง ๆ ที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้ มีการออกประกาศเตือนการเดินทาง  2-3  เดือนหลังจากเกิดเหตุการณ์ระเบิดที่หาดคูต้า ในเดือนตุลาคม 2545  และช่วง 2-3 เดือนก่อนสหรัฐอเมริกาจะส่งกองทหารเข้าไปในอิรัก สามีฉันจะไปสอนหนังสือส่วนฉันจะไปเป็นบรรณาธิการใน     ย็อกยาการ์ตา  ประกาศเตือนได้กล่าวถึงความไม่สงบ  อันตราย และแม้แต่การต่อสู้ แต่ไม่นานเลยเราก็พบว่าผู้ก่อการร้ายที่มุ่งโจมตี “สถานที่ต่าง ๆ ที่เป็นที่รู้กันว่าเป็นที่ชาวอเมริกันพักพิง ชุมนุม และไปเยี่ยมชม” ไป ๆ มา ๆ ก็จะต้องพบกับอุปสรรคในย็อกยา  ทั้งนี้เพราะแทบจะไม่มีชาวอเมริกันที่นั่นเลย  ร้านขายของที่ระลึก เครื่องเงิน  ผ้าบาติก  และหนังสือมือสอง  บริษัทตัวแทนการท่องเที่ยว ภัตตาคารซึ่งเปิดไว้บริการนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกแทบจะว่างเปล่าปราศจากผู้คน  ร้านรวงที่เรียงเป็นตับในแถบประวิโรตมาน และโสศโรวิชยาน  ดูหงอยเหงา  แต่แม้ว่าธุรกิจท่องเที่ยวจะซบเซา ร้านค้าสินค้าตะวันตกซึ่งมุ่งบริการชาวอินโดนีเซียที่มีรสนิยมซื้อของนำเข้ากลับเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ถ้าเกิดระเบิดที่ร้านเคนตั๊กกี้ฟรายด์ชิกเก้น ซึ่งเป็นร้านติดกระจกตกแต่งอย่างงดงาม บนถนนกาลิอุรัง หรือที่ดังกิ้น โดนัทส์ ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม หรือที่ร้าน พิซซา ฮัท ที่อยู่ใกล้อนุสาวรีย์ หรือที่ร้านเวนดีส์   ที่ร้านแม็คดอนัลด์ หรือที่เท็กซัสชิกเก้น ในศูนย์การค้ามาลิโอโบโร อันคึกคักน่าเวียนหัว  เหยื่อเคราะห์ร้ายก็จะเป็นชนชั้นกลางชาวชวา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่นหรืออยู่ในวัยยี่สิบเศษ

ที่ย็อกยาการ์ตาเราอยู่ห่างจากประเทศบ้านเกิดไกลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้บนโลกกลม ๆ ใบนี้  เวลา 8 โมงเช้า ที่รัฐนิวยอร์ก เป็นเวลา 2 ทุ่มที่เกาะชวา  สำหรับเราแล้วมันเป็นที่ที่มีมนต์เสน่ห์แปลกตา  ผลไม้และภูมิทัศน์ดูราวกับดึงมาจากเรื่องแต่งเกี่ยวกับการเดินทางในทะเลที่เราอ่านพบสมัยเรียนปริญญาตรี  ทางเหนือของย็อกยาจะเห็นภูเขาไฟ กูนัง เมราปิ ที่ยังปะทุอยู่ตั้งตระหง่านโดดเด่น  มีความสูงถึงเกือบ 3000 เมตร  ปล่องภูเขามีเมฆขาวบดบังอยู่เสมอ  รูปร่างของภูเขาดูเรียบง่ายเหมือนรูปวาดภูเขาของเด็กที่ตั้งโดดเด่นเดียวดาย  เฉดของสีเข้มกว่าสีของท้องฟ้าเล็กน้อย  ทว่าส่วนใหญ่แล้วเมราปิจะไม่ปรากฏให้เห็น เพราะถูกบดบังด้วยเมฆหมอก ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของภูเขาไฟ  ขณะบินเหนือเกาะชวาไปยังเกาะบาหลีหรือล็อมบ็อก นักท่องเที่ยวจะเห็นภูเขาไฟอยู่ทุกหนทุกแห่ง ซึ่งล้วนถูกล้อมรอบด้วยเมฆหมอก โผล่ขึ้นมาจากผืนดินซึ่งถ้าไม่นับเมฆหมอกที่ว่าก็จะมีแดดจ้า

เราหลงใหลกับภูเขาไฟสีน้ำเงินลูกนี้ สาเหตุใหญ่ไม่ใช่เพราะว่ามันเป็นสัญรูปของอันตรายที่อาจจะปะทุขึ้น แต่เพราะว่ามันดูเหมือนกับอะไรบางอย่างในจินตนาการ   ดังนั้น วันหนึ่งเราจึงขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นเหนือไป   กาลิอุรังซึ่งเกือบจะถึงด้านข้างของเขาเมราปิ  กาลิอุรังเป็นเมืองเขียวขจี อยู่บนที่สูง มีอากาศเย็นกว่าที่อื่น แต่ยากจน  มีที่พักที่สร้างขึ้นแบบพออยู่ได้สำหรับนักท่องเที่ยววันสุดสัปดาห์ขึ้นอยู่เป็นจุด ๆ  บางแห่งก็โฆษณาว่ามีน้ำร้อนในห้องพัก เราหาทางเข้าอุทยานแห่งชาติพบ ปีนขึ้นไปยังจุดชมทัศนียภาพในป่า แต่ก็ยังเห็นแต่เมฆหมอก  ซึ่งบดบังภูเขาไฟ  ที่แท้จริงแล้วอยู่ตรงหน้าและสูงตระหง่านเหนือหัวเรา

ตรงจุดชมทัศนียภาพนั้นเองที่เราได้พบชาวอินโดนีเซียสามคน  สองคนเป็นผู้ชายไม่สวมเสื้อ  อีกคนเป็นผู้หญิง ไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษได้ ทันทีที่เราปรากฏกายบนทางเดิน ชายที่รูปร่างใหญ่กว่าเพื่อนก็ร้องตะโกนให้เราเดินเข้าไปใกล้กว่านั้น  แล้วก็ถามเป็นภาษาอินโดนีเซียขึ้นว่า “Dari mana? พอเราตอบด้วยภาษาเดียวกันว่า “เรามาจากอเมริกา” ชายผู้นั้นก็พูดอะไรออกมาเกี่ยวกับสงคราม (perang) ซึ่งเป็นคำที่ฉันเพิ่งจะเปิดพจนานุกรมดูมาก่อนในสัปดาห์นั้น  วันนั้นเป็นวันที่ 26 มีนาคม ราว 6 วันหลังจากสหรัฐอเมริกาเริ่มทิ้งระเบิดถล่มอิรัก

ระหว่างการสนทนากันด้วยภาษาที่กระท่อนกระแท่นในเวลาต่อมา  ไม่ฉันก็สามีก็พูดประโยคเดิม ๆ ของเราว่า “สงครามไม่ดี”  และพยายามที่จะทำให้เขารู้ว่าใครคืออัล กอร์ และบอกว่าเราลงคะแนนให้กับเขา แม้ว่าคำนี้ (อัลกอร์) จะฟังดูว่างเปล่าแม้แต่กับเรา  เราพยายามอธิบายว่าเรามาจากเมืองเล็ก ๆ ในมลรัฐนิวยอร์ก และรัฐนิวยอร์ก ไม่ใช่มหานครนิวยอร์ก  เราวาดแผนที่บนพื้นดินที่แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร  และยกตัวอย่างมลรัฐแคลิฟอร์เนีย และเท็กซัสว่าเป็นชื่อของมลรัฐ  ชายผู้นั้นบอกว่าเขาเป็นคนจน อายุ38 ปี แต่ไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง  เขาบอกว่าอยากย้ายไปอยู่อเมริกา อยากให้เราพาเขาไปด้วย แล้วเขาก็หัวเราะ

เราซื้อน้ำอัดลมสองขวดจากผู้หญิง ซึ่งมีอาชีพเร่ขายของ  ขาเล็ก ๆ ของเธอ มีกล้ามขึ้นเป็นริ้ว เธอสวมรองเท้าแตะยาง   มีแถบผ้าสะพายลังน้ำอัดลมไว้บนหลัง  ปีนบนทางที่ชัน  เพราะว่าผู้ชายหัวเราะ เราจึงรู้ว่าเราถูกโก่งราคา  แต่ว่าเราสองคนได้ตกลงกันไว้แล้วว่าถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงแล้วละก็ เรายินดีจะถูกโก่งราคา  เพื่อเห็นแก่มโนธรรม   และเพราะเป็นอะไรน้อยที่สุดที่เราจะช่วยได้เพื่อการค้าขายในระดับสากล

หลังจากเราเดินจากสามคนนั้นบนภูเขามา เราก็เดินรอบเมืองกาลิอุรัง มองเห็นดอกไม้ที่ดูคล้ายดอกซินเนีย  และดอกอื่น ๆ ที่ ต้องเป็นดอกกุหลาบแน่ ๆ เห็นบ้านทาสี  เห็นไก่ และสุนัขที่ไม่รู้ทำไมจึงไม่ดุ สนามเด็กเล่นเก่า ๆ ดูน่าเล่น ล้อมรอบด้วยรั้วลวดหนาม เห็นบ้านให้เช่าหลังคามุงกระเบื้อง ตั้งหลบอยู่เบื้องหลังประตูที่แหลมคม  เห็นได้ชัดว่าส่วนใหญ่ไม่มีคนอยู่   แต่พอกลับมาใกล้ ๆ กับโรงแรมที่เราพัก เด็ก ๆ พอเห็นหน้าตาออกชมพู ผมไม่ดำสนิท  ก็จะส่งเสียงทักทายสวัสดี เป็น ภาษาอังกฤษ  แม่คนหนึ่งที่ขับรถอยู่ก็บีบแตรให้เราโบกมือและตะโกนสวัสดีกับลูกของเธอ  เราก็ทำตามและมีความรู้สึกว่าเป็นอเมริกัน  ชาววันรุ่งขึ้นเราก็ยังไม่เห็นภูเขาไฟเมราปิอยู่ดี

พอล วูลโฟวิทซ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมแห่งสหรัฐ เคยเป็นเอกอัครราชทูตประจำประเทศอินโดนีเซียเป็นเวลา 3 ปี ในรัฐบาลของประธานาธิบดีเรแกน  เขาเคยปีนเขาเมราปิพร้อมมัคคุเทศก์นำทาง แล้วก็เดินลงมาจากเขา ได้กล่าวถึงสิ่งที่ดีเกี่ยวกับการปีนเขาไว้อย่างไพเราะ   ปัก โจโก อาจารย์ชาวอินโดนีเซียผู้หนึ่งกล่าวว่าเพื่อนร่วมชาติของเขาชื่นชอบวูลโฟวิทซ์มากสมัยที่เขายังเป็นเอกอัครราชทูต แต่ตอนนี้พวกเขารู้สึกถูกทรยศเพราะเขาในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และพรรคพวกของเขาได้ตีตราว่าประเทศอินโดนีเซียมีผู้ก่อการร้ายชุกชุม  อันเป็นที่มาของการออกประกาศเตือนการเดินทาง  มีส่วนทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวและการลงทุนจากต่างชาติลดฮวบ  เศรษฐกิจซึ่งย่ำแย่อยู่แล้วตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในเอเชีย เมื่อปี 2540  ก็ยิ่งถูกกระทบกระเทือนขึ้นไปอีก  มีส่วนทำให้ท้ายสุดจำนวนคนยากจนในอินโดนีเซียเพิ่มขึ้น

ความพยายามของเราที่จะเข้าใจอินโดนีเซียจะเกี่ยวพันกับความพยายามของเราที่จะเข้าใจสหรัฐอเมริกา ซึ่งอยู่ ๆ ก็กลายเป็นดินแดนที่อยู่ห่างไกลที่ซึ่ง พอล วูลโฟวิทซ์ และเพื่อนร่วมงานของเขามีอิทธิพลสูงสุด  ประเทศมหึมาทั้งสองประเทศ คืออินโดนีเซียที่เป็นหมู่เกาะ และ สหรัฐอเมริกาที่เป็นยักษ์ใหญ่ประเดี๋ยวก็ปรากฏเป็นเงาตะคุ่มประเดี๋ยวก็ลับสายตา

Bahasa-speech-bubble 

เมื่อเครื่องบินที่เราโดยสารมาลงจอดที่ย็อกยาการ์ตา เราก็นั่งรถไปที่โรงแรมและสมัครเรียนภาษาที่โรงเรียน ปุรี บาฮาซา ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ โรงแรมแทบจะไม่มีแขกพัก เรารับประทานอาหารเช้าอย่างรู้สึกหดหู่ แวดล้อมด้วยเฟอร์นิเจอร์สีแดงที่ฉูดฉาด   นกร้องเพลงในกรง 2-3 ตัว  ปลาขนาดใหญ่ว่ายวนไปวนมาไม่รู้จบในตู้ปลาขนาดเล็ก หลังอาหารเข้าเราจะกลับไปยังห้องพัก เอาหนังสือ ปากกา และของมีค่าที่ติดมือไปได้ใส่กระเป๋าเอ็ดดี้ เบาเออร์ แล้วก็เดินไปเรียนภาษา

ถนนเซ็นดราวาสีซึ่งเป็นซอย ไม่ใช่ถนนที่ยาว แต่ในความรู้สึกของฉันนั้นมันยาว  ความวุ่นวาย ความร้อน ความคับแคบของถนนที่กระหึ่มไปด้วยเสียงมอเตอร์ไซค์ และแน่นขนัดไปด้วยร้านค้ากลางแจ้ง ทำให้เรารู้สึกอึดอัดเหมือนถูกบีบ เราจึงเดินตามหลังกันไปติด ๆ  ฉันยังแยกไม่ออกว่าคนเขาทำอะไรกัน และยังอ่านป้ายไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าร้านอาหารส่วนใหญ่ในย็อกยาจะเป็นเพียงเพิงมุงหลังคาด้วยผ้าอาบน้ำมัน  และค้ำด้วยเสาผอม ๆ  ไม่เห็นว่าคนที่นั่งอยู่ในบรรดาเต็นท์ตรงหัวมุมถนนกำลังซ่อมรถมอเตอร์ไซค์ และปะยางรถยนต์   แต่ทุกวันจะสังเกตเห็นขวดน้ำที่กองซ้อน ๆ กันเป็นปิรามิดที่ร้านแห่งหนึ่ง  ซึ่งได้กลายมาเป็นเครื่องบอกทางอย่างเดียวของเรา  กว่าเราจะกล้าเดินแหวกผนังที่ทำด้วยผ้าเข้าไปนั่งในร้านอาหาร Waroeng Steak & Shake แล้วก็สั่งอาหารจากรายการอาหารก็ต้องใช้เวลา สองสามวัน  เราโชคดีโดยที่เราเองก็แทบไม่รู้ตัวที่ภาษาอังกฤษเป็นที่นิยมของคนเมืองในชวา ดังนั้นมีป้ายต่าง ๆในละแวกที่เราอยู่จะเป็นคำที่เรารู้จักและเข้าใจ ไม่ว่าจะคำว่า ซักแห้ง สตรีและบุรุษ ระบบเสียง บำรุงผิวหน้า อินเทอร์เน็ต  และในเมนูของร้าน Waroeng Steak & Shake เราก็จะเห็นคำว่า มันฝรั่งทอด สเต๊กเซอร์ลอยน์  และสต๊กพริกไทยดำ

ทุกเช้า หลังจากเดินมาถึงรั้วของโรงเรียนปุรี บาฮาซา เราจะมอบตัวเองให้อยู่ในความดูแลของครูภาษาของเรา   ห้องเรียนเป็นห้องขนาดเล็กอยู่กลางแจ้ง แต่ละห้องตั้งชื่อตามเกาะต่าง ๆ ของอินโดนีเซียและตกแต่งด้วยภาพถ่ายและข้าวของที่หาได้จากละแวกนั้น  มีพัดลมหมุน  และกระดานไวท์บอร์ด   ชายคากระเบื้องดินเหนียวที่ยื่นออกมา   ช่วยกันความร้อนที่แผดเผาออกไม่ให้เข้ามาในห้อง   เรามาที่นี่เพื่อเรียนภาษาบาฮาซา  ซึ่งเป็นภาษาประจำชาติ มีกำเนิดมาจากภาษากลางที่ใช้ในในการค้าขายอย่างแพร่หลายซึ่งเดิมใช้พูดกันในแถบคาบสมุทรมาเลเซีย และสุมาตรา

หากจัดประเภทแล้วบาฮาซาถือเป็นภาษาผสมแก้ขัด(พิดจิ้น)  ซึ่งเกิดขึ้นเพื่อเอื้อต่อการเรียนรู้ที่รวดเร็วและเพื่อการสื่อสารตามท่าเรือและระหว่างคนอยู่ในเรือคนละลำ   คำนามและคำกริยาไม่ต้องมีการบอกการก ลิงค์(เพศ)  ไมตองกระจายคำนาม หรือผันกริยาให้วุ่นว่าย  เพื่อว่าผู้เรียนจะสามารถเปล่งประโยคง่าย ๆ ออกมาได้อย่างรวดเร็ว  คำบางคำในภาษาบาฮาซามีความหมายหลายอย่าง เช่นคำว่า pakai  อาจแปลว่าใช้ สวมใส่ หรือ กับ : เราสามารถ pakai ค้อน pakai เสื้อ หรือ ดื่มชา pakai น้ำตาล บาฮาซายังเป็นภาษาที่เอื้อต่อคำยืมจากภาษาอื่น ตัวอย่างเช่น paspor, status, fleksibel, efektiv, ekslusif, normal, demokrasi, konfirmasi, revolusi, tradisikolusi, korupsi, nepotisme (และจากหนังสือพิมพ์เดือนมีนาคม-เมษายน 2546  rekonstruksi, transisi, agresi).

ฉันมองว่าความไหลลื่นในทางภาษาเหมือนกับการบิน  ก็เลยตั้งหน้าตั้งตาคอยอย่างใจจดใจจ่อให้ถึงเวลาเรียน  ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าจะต้องไม่ได้ผลดังใจ  ครั้งสุดท้ายที่เคยต้องพยายามท่องจำคำใหม่ ๆ  ก็ตั้งนานมาแล้ว  เวลาไปรับเพื่อนที่สนามบิน เราต้อง menjamput หรือ  menjemput หรือ  menjempat   ต้องใส่คำว่า jam หรือเปล่า ต้องผันเป็นเสียงไหนกันแน่ ระหว่าง pat หรือ put  แล้วทำไมคนถึงเรียกเครื่องบินว่า pesawat   เราได้เรียนรู้อีกครั้งว่าแปลกที่คำที่เราใช้พูดกันอยู่นั้นไม่มีแก่นสารที่แท้จริง  คำว่า แอปเปิ้ล จะกัดหรือทิ้งไม่ได้ แต่พอใช้ไปเรื่อย ๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก คำนี้จะมีรูปลักษณ์และกลิ่นรสที่เป็นมายาขึ้นมา

เราได้พลอยเรียนรู้อะไรอย่างอื่นที่ปุรีไปด้วย  อยู่ที่นั่นทำให้เราตระหนักว่าคนจำนวนไม่น้อยในโลกพูดได้มากกว่าหนึ่งภาษา ในขณะที่ชาวอเมริกันเป็นที่รู้กันว่าไม่รู้สึกรู้สมอะไรที่พูดได้ภาษาเดียว  บรรดาครู ๆ ของเราพูดได้ทั้งภาษาชวา (หรือบาหลี) ภาษาบาฮาซา และพูดภาษาอังกฤษแบบใช้การได้  คนยุโรปที่เราพบพูดภาษาอังกฤษได้ เช่นชาวเนเธอร์แลนด์ไม่เพียงแต่ใช้ภาษาอังกฤษ สื่อสารกับเรา แต่ยังใช้เพื่อพูดคุยกับสาวเยอรมันและถามคำถามครู  เราสองคนเสียเปรียบกว่าใครเพื่อนในเรื่องนี้   และเมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างอังกฤษกับสหรัฐฝ่ายหนึ่งและฝรั่งเศส เยอรมนี และรัสเซียอีกฝ่ายหนึ่งในสภาความมั่นแห่งสหประชาชาติด้วยเรื่องการกำหนดเส้นตายสำหรับการปลดอาวุธอิรักซึ่งทวีความรุนแรงขึ้น ฉันและฮิวจ์ก็เอาแต่อยู่ในห้องเรียนในระหว่างพักและพูดคุยกันเบา ๆ พยายามที่จะ “ไม่ทำตัวโดดเด่น”   ดังข้อแนะนำของประกาศเตือนการเดินทาง

ฉันรู้สึกต่ำต้อยและภาคภูมิใจวูบ ๆ ขึ้นมาอย่างไม่อาจคาดเดาได้  สลับไปมาระหว่างเรื่องส่วนตัวและเรื่องของชาติ    ฉันจดจ่ออยู่กับคำพูดที่เปล่งออกมา  ลมปากที่ไร้ความหมายและความ พยายามที่อยู่เบื้องหลัง   ฉันเกลียดเมื่อดูโทรทัศน์แล้วต้องเห็นรัฐมนตรีข่าวสารของอิรัก นายมูฮัมมัด ซาอิด อัล ซาฮาฟ โปรยคำที่เห็นชัดว่าโกหกใส่ไมโครโฟน  และที่อาจจะเกลียดยิ่งไปกว่านั้น คือดูนาย จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช หรือนายดอนัลด์ รัมสเฟลด์ ที่ชอบใช้คำขวัญเวลาอยู่ต่อหน้ากล้อง  บุชใช้ความพยายามอย่างยากเย็นแสนเข็ญในการพูดต่อที่ประชุมชน  เขาเอาแต่ใช้วลีที่ซักซ้อมกันมาเป็นอย่างดี  เลือกใช้ได้เหมือนหมาที่กระโดดออกมาจากพุ่มไม้เวลามีคนเรียก  ให้ความรู้สึกว่าเขาเหมือนเด็กนักเรียนที่พยายามแสดงความคิดเห็นเป็นภาษาต่างประเทศ  “สหประชาชาติจะมี บทบาทที่สำคัญยิ่ง” ท่านประธานาธิบดีครับ ที่ว่าบทบาทสำคัญยิ่งนั้น ท่านหมายความเฉพาะเจาะจงว่าอย่างไร  “ผมก็หมายความอย่างที่บอกนั่นแหละ คือบทบาทที่สำคัญยิ่ง”  ฉันรู้ดีว่าความรู้สึกเช่นนี้เป็นอย่างไร  และรู้สึกโกรธเหลือเกินเวลาดูเขาพูด

ทว่านักเดินทางชาวอเมริกันอายุปูนเรา  ซึ่งมีลูกชายที่กำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยและจบไปแล้ว  จะให้คอยสงบเสงี่ยมเจียมตัวตลอดเวลาก็เป็นไปไม่ได้   มีบางทีที่เราคนใดคนหนึ่งอยู่ ๆ ก็รู้สึกเกลียดการต้องไปโรงเรียนและพูดเหมือนเด็ก ๆ (แย่กว่าเด็กเสียอีก) กับครูของเรา ซึ่งเป็นผู้หญิงในวัยยี่สิบกว่า ๆ ที่ทำท่าทางเหมือนเป็นแม่  อันที่จริง กว่าจะถึงเดือนเมษายน หลังจากที่เกิดเหตุซุ่มโจมตีครั้งร้ายแรงที่สุดที่อุม คาซาร์ และบัสรา ซึ่งเป็น “จุดต่อต้าน”  และหลังจากที่ข่าวการยิงโจมตี พวกเดียวกันโดยบังเอิญในอิรักอย่างน่าปวดใจ   จะกลายเป็นข่าวเก่าไปแล้ว   ฉันก็รู้สึกเหนื่อยหน่ายกับความรู้สึกที่คลางแคลง โง่เง่า อ่อนแอ และรู้สึกผิดเมื่อเรียนที่โรงเรียนปุรี บาฮาซา  ฉันทนต่อไปไม่ไหวแม้แต่อีกครั้งเดียว  ที่จะต้องได้ยินคนฝรั่งเศสชี้แจง (อย่างคล่องแคล่วเป็นภาษาบาฮาซา) ว่าทุกครั้งที่ใครก็ตามบนท้องถนนของเมืองย็อกยา ทักทายเขาว่า “เฮลโหล มีสเตอร์” เขาร้องตอบออกไปเพื่อแก้ความเข้าใจผิดว่า “ผมไม่ใช่คนอเมริกัน ผมมาจากประเทศฝรั่งเศส”    “ไอ้งั่งเอ๋ย” ฉันสบถในใจ โดยไม่เสียเวลาที่จะนึกคำแปล  ลืมตัวไปชั่ววูบว่าฉันสนับสนุนฝรั่งเศสและตัวแทนของชาตินี้ที่ต่อต้านสงครามอิรัก 

ฉันไม่เคยเปล่งคำพูดโต้ตอบที่ว่านี้ออกไป  มันถูกกลืนลงไปในลำคอ  ดังนั้นรสชาติของมันจึงยังคงรู้สึกได้  เป็นรสชาติของภาษาแม่ของฉันที่เต็มไปด้วยความเผ็ดร้อนและควันที่พวยพุ่ง 

exposure

ย็อกยาการ์ตาเป็นทั้งเมืองแห่งราชสำนักและเมืองมหาวิทยาลัย  มีสุลต่านปกครอง คือ สุลต่าน ฮาเมงกูบูโวโน ที่สิบ  และมีประชากรประมาณ 450,000 คน  ล้อมรอบด้วยนาข้าว บางแห่งยังคงอาศัยแรงงานของวัวควายอยู่  ตามถนนหนทางยังคงเห็นรถลากด้วยม้าแบบเรียบ ๆ  และรถโดยสารแบบใช้คนถีบอยู่  พาหนะพวกนี้ไปไหนมาไหนอย่างสงบท่ามกลางรถจักรยานยนต์ที่ขับขี่กันรวดเร็วราวกับจรวด เคยมีคนบอกเราว่าในเมือง ย็อกยานั้น  จะขับขี่กันอย่างบ้าคลั่งผิดปกติ  เพราะเต็มไปด้วยนักศึกษา

ภูมิอากาศแบบเส้นศูนย์สูตรเอื้อให้คนอินโดนีเซียจำนวนมากไปไหนมาไหนด้วยรถจักรยานยนต์ได้ตลอดทั้งปี  โดยไม่ต้องใช้รถยนต์  เช่นเดียวกับที่เอื้อให้พวกเขาพักพิงในบ้าน หรือรับประทานอาหารในภัตตาคารที่ปราศจากผนังแข็งแรง  บ้านในมหาวิทยาลัยที่เราไปเช่ากันในที่สุดมีบริเวณกว้างขวาง และสร้างขึ้นเพื่อรองรับนักศึกษาแลกเปลี่ยนจากนอร์เวย์ แต่ขาดผนังไปด้านหนึ่ง  ซึ่งกว่าเราจะสังเกตเห็นก็ล่วงเลยไปแล้ว   2-3 วัน ห้องใหญ่ ซึ่งมีโต๊ะทำงานหนัก ๆ และโต๊ะไม้กลมขนาดใหญ่พอสำหรับคนนอร์เวย์ซึ่งขณะนั้นไม่อยู่นั่งได้เจ็ดคน ได้รับแสงที่ลอดผ่านหน้าต่างบานใหญ่ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง แต่ละบานมีโครงทำด้วยวัสดุขัดแตะเป็นลายรังผึ้งสีขาวและมุ้งลวดกันยุง แต่หน้าต่างที่อยู่ตลอดแนวด้านหลังของบ้านไม่มีกระจก

ในสภาพเช่นนี้ นักท่องเที่ยวชาวอเมริกันที่มาย็อกยาจะรู้สึกว่าอยู่ในบ้านก็เหมือนกำลังอยู่นอกบ้าน   และเวลาอยู่นอกบ้าน ก็จะรู้สึกว่ากำลังอยู่ในที่โล่งแจ้งจริง ๆ  โดยทั่วไปคนที่ติดต่อธุรกิจ รับประทานอาหาร หรือสัญจรไปมา จะได้ทำกันในที่แจ้ง ไม่ลับตา  และสัมผัสกับยางมะตอย  เรื่องผาดโผนบนท้องถนนเป็นเรื่องปกติ  และความหมิ่นเหม่ต่ออันตรายเป็นเรื่องที่น่าหวาดเสียว    คนขับขี่จักรยานยนต์ที่ต้องประคองจอคอมพิวเตอร์ไว้บนตัก หนีบพรมที่ม้วนไว้ใต้แขน มีกรงไม้ใส่นกพิราบเต็มผูกแน่นหนาไว้ด้านหลัง  และรับส่งเด็ก ๆ ที่ยังไม่รู้อิโหน่อิเหน่  ซึ่งใช้แขนและขาที่เรียวเล็กเกาะเกี่ยวไว้แน่นเหมือนกับนักขี่ม้าที่ช่ำชอง  แม่ที่ลูกยังแบเบาะซ้อนท้ายสามีพร้อมกับประคับประคองทารกที่ห่อไว้ในผ้าแถบโอบผ่านด้านหลังคอมาผูกที่ไหล่  ไม่มีรถคันใดที่จะยอมหยุดสนิทเมื่อถนนสองสายวิ่งเข้ามารวมเป็นเส้นเดียวกัน ผู้ขับขีรถต่างจะต้องขับรถเข้าหาก้นอย่างลื่นไหล และมีความเชื่อมั่นว่าคงไม่เกิดอุบัติเหตุ  อุบัติเหตุนั้นมี หนังสือพิมพ์จาการ์ตาโพสต์รายงานว่าการบาดเจ็บที่เกิดจากจักรยานยนต์ทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น เป็นสาเหตุหนึ่งที่เหนี่ยวรั้งความเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้

ฉันได้ถามศาสตราจารย์ด้านมานุษยวิทยา ผู้หนึ่ง ว่าเป็นไปได้อย่างไรที่คนชวาซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องของกิริยามารยาทที่นุ่มนวลเป็นพิธีรีตอง  จะมีเมืองที่เต็มไปด้วยคนขับขี่จักรยานยนต์ที่บ้าระห่ำเช่นนี้ ศาสตราจารย์ผู้นี้ตอบว่า “อ๋อ ไม่เห็นจะยาก  ถนนนั้นเป็นโลกแห่งการผจญภัยของเรา”

ระบบคุ้มครองทางร่างกาย  ทางกฎหมาย และกฎเกณฑ์ ซึ่งสร้างขึ้นมาเพื่อคุ้มครองคนอเมริกันชนชั้นกลางจากภยันตรายต่าง ๆ นั้น มาไม่ถึงอินโดนีเซีย   ทั้งนี้มักจะเป็นเพราะค่าใช้จ่ายสูงเกินไป  และอาจจะกลายเป็นเรื่องแปลกเมื่อนำไปใช้ที่อื่น    ด้วยเหตุนี้ เมื่อมองจากย็อกยาคนอเมริกันดูจะไม่ถูกแวดล้อมด้วยอันตราย ไม่ว่าจะในประเทศหรือนอกประเทศ  แต่ในความเป็นจริง จะเห็นคนอเมริกันคาดเข็มขัดนิรภัย  เด็ก ๆ ก็คาดเข็มขัดนิรภัย  สวมหมวกนิรภัย  น้ำก็มีคลอรีนฆ่าเชื้อ  ทำประกันชีวิต มีอาวุธป้องกันแข็งขัน  มีการป้องกันภัยทางทะเล  มีสวัสดิภาพที่ราคาแพง

อันตรายต่าง ๆ ที่เราต้องเผชิญในการมาอยู่ในอินโดนีเซียนั้นนับเป็นเรื่องเล็กน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับอันตรายต่าง ๆ ที่คนอินโดนีเซียส่วนใหญ่ต้องเผชิญกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน   แต่จะว่าไปแล้ว ตัวเราร่างกายเราก็ยังอยู่ที่นั่น ยังคงต้องเผชิญกับตรรกะ ความร้อน การกระทำ และขนาดของสถานที่  ในขณะที่ทุก ๆ เช้า ถนนหนทางของ ย็อกยาจะคึกคักไปด้วยธุรกิจประจำวัน การได้ออกไปเดินข้างนอกทำให้เรามั่นใจว่าภาพลักษณ์ของอินโดนีเซียจากมุมมองของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ ฯ นั้นน่าจะเป็นมุมมองที่ได้จากที่สูงมาก  และกรองผ่านเลนส์พิเศษของกระทรวงการต่างประเทศ  อันตรายจากการก่อการร้ายงั้นหรือ  โธ่เอ๋ย  แล้วรถเมล์เบอร์สิบล่ะ

ในอารมณ์แบบนี้ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจที่จะคอยสังเกตสิ่งละอันพันละน้อยไปตามทางเดิน บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าข้อสังเกตเหล่านี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าในฐานะผู้อาศัยอยู่ชั่วคราว ฉันมีความสามารถมากขึ้นและรู้จักยืดหยุ่นมากขึ้น  ซึ่งหมายความว่าฉันมีสวัสดิภาพมากยิ่งขึ้น  พอฉันรู้แล้วว่าขวดน้ำมันเบนซินมีฝาปิดซึ่งตั้งขายกันบนถนน โคลอมโบ หน้าตาเป็นอย่างไร และแยกมันออกได้จากขวดที่มีหน้าตาคล้าย ๆ กัน ซึ่งมีจุกปิดทำจากใบตอง ข้างในบรรจุของเหลวสีออกเหลือง ๆ วางขายตามรถเข็นขายของในมหาวิทยาลัย มันช่างเป็นความสำเร็จที่น่าปลื้มราวกับเป็นเรื่องสำคัญ  ฉันก็เดินไปมหาวิทยาลัย และซื้อน้ำที่สีออกเข้มกว่าหนึ่งขวดจากชายหน้าบากและดื่มจากถุงพลาสติกและหลอดดูด   ฉันไม่รู้จริง ๆ หรอกว่ากลืนอะไรลงไป (รสชาติเป็นน้ำมะขามกับน้ำเชื่อมที่ทำมาจากน้ำตาลทรายแดงที่ยังไม่ได้ผ่านกระบวนการ  ซึ่งอาจจะทำมาจากน้ำหวานที่ผสมน้ำตาลปึก)  แต่ฉันก็บอกกับตัวเองได้ว่า “มันไม่ใช่น้ำมัน”

ฉันและสามีไม่ได้หวังที่จะได้ต้องมั่นใจเสมอในเรื่องสวัสดิภาพในย็อกยา  บางครั้งบางคราว  เราก็หาเรื่องใส่ตัวแบบไม่หนักหนา  ประกาศเตือนการเดินทางที่ออกเมื่อวันที่ 10  เมษายนสั่งให้ชาวอเมริกันในอินโดนีเซีย “หลีกเลี่ยงการเดินขบวนที่อาจลุกลามไปสู่ความรุนแรง”  บ้านของเราเปิดโล่งรับเสียงที่มาจากมหาวิทยาลัย กัดจาห์ มาดา  ซึ่งเราก็คอยเงี่ยหูฟัง  เพราะมีคนบอกว่าวงเวียนในมหาวิทยาลัยเป็นจุดที่มีผู้นิยมมาปักหลักประท้วง  อยู่มาเช้าวันหนึ่ง เราก็ได้ยินเสียงที่โกรธเกรี้ยว ดังผ่านลำโพง แต่ฟังไม่ออกแม้แต่คำเดียวว่าพูดว่าอะไร  ฮิวจ์ปฏิบัติตามคำเตือนและหาทางอ้อมเพื่อไปทำงานที่มหาวิทยาลัย   เรามารู้ในภายหลังว่าคนกลุ่มนี้เป็นชาวบ้านจากเซมารังซึ่งนั่งรถโดยสารมายังมหาวิทยาลัยเพื่อประท้วงการที่มหาวิทยาลัยมีกรรมสิทธ์ในไร่ชาทางตอนเหนือ  พวกเขาต้องการที่ดินคืน  ถือเป็นเรื่องขัดแย้งในระดับท้องถิ่น ไม่เกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศของอเมริกา  แล้วอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา เราก็ได้ยินเสียงดังออกลำโพงอีก  นั่นเป็นเวลาเช้าของวันที่ 23 มีนาคม ไม่กี่วันหลังจากอเมริกาเริ่มเปิดฉากถล่มประเทศอิรัก    เราตัดสินใจเดินไปดู  ขณะที่ก้าวผ่านประตู ฉันรู้สึกว่าเบาโหวงไปหมดตรงบริเวณขาที่ดูจะยาวและซีดขาวเป็นพิเศษในเช้าวันนั้น  ข้างหน้าเราข้าง ๆ ลานหญ้ากว้างขวางของมหาวิทยาลัย  มีผู้คนเต็มไปหมด  รถยนต์จอดกันเกลื่อน  และมีลูกโป่งลอยอยู่ 2-3 ลูก

เราเดินข้ามถนนกาลิอุรัง เพื่อไปสมทบกับฝูงชน   ขณะที่เราเดินไปข้างหน้าเรื่อย ๆ เราก็เห็นถนนที่จะพาไปยังวงเวียน   สองข้างทางมีร้านอาหารเล็ก ๆ และคนขายของหาบเร่ขายซีดี ตัวต่อปริศนาที่ทำจากไม้  ไม้พายทำอาหาร ส้อม ผลไม้มากมาย   มีเด็ก ๆ เต็มไปหมด  เห็นนักกายกรรมบนสนามหญ้า และผู้ชายที่ขายวัสดุที่ทำให้เกิดฟองสบู่   เราซื้อจากเขา 2 ชด  แต่ละชุดเป็นกล่องฟิล์ม 35 ม.ม. ใช้แล้วข้างในบรรจุสบู่เหลว และหลอดพลาสติก ตรงปลายมีลวดพันด้วยด้าย ดัดเป็นรูปห่วง   เราค้นพบตลาดนัดที่จัดขึ้นในมหาวิทยาลัยเช้าวันอาทิตย์   ลำโพงเป็นของวงดนตรีร็อค  ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากลูกอมที่ทำให้กลิ่นปากสดชื่นรสมินท์ ยี่ห้อ Boom!  สาว ๆ อินโดนีเซียในชุดเสื้อยืดโฆษณาสินค้าเหมือน ๆ กัน  กำลังคอยแจกลูกอมมินท์ฟรี  ฉันรับห่อลูกอมมาจากผู้หญิงคนที่สองที่ยื่นให้เรา  คนแรกที่ยื่นมือออกมาทำให้ฉันตกใจสะดุ้ง  เป็นผลพวงของ “และขอให้ตื่นตัวเต็มที่ตลอดเวลาเกี่ยวกับสิ่งของและผู้คนรอบตัว”

ในช่วงสัปดาห์ต่อ ๆ มาหลังจากนั้น คนชวาจะอยู่ในบ้านชมภาพที่สยดสยองของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตชาวอิรักทางโทรทัศน์  ภาพเหล่านี้ออกอากาศไปตลอดเดือนเมษายนจนล่วงเลยเข้าไปในเดือนพฤษภาคม  ถึงแม้การโจมตีกรุงแบกแดดด้วยขีปนาวุธจะสิ้นสุดไปแล้วก็ตาม  สถานีเมโทรทีวี ซึ่งเป็นสถานีเอกชนที่ออกข่าวตลอด 24 ชั่วโมง โดยได้รับใบอนุญาตหลังจากซูฮาร์โต้หมดอำนาจลง  จะแพร่ภาพวีดีโอที่สร้างความฮือฮาซ้ำแล้วซ้ำอีก เป็นภาพตัดต่อของพลเรือนชาวอิรักที่ได้รับบาดเจ็บ ซ้อนด้วยใบหน้าของเด็กหญิงชาวอินโดนีเซียซึ่งกำลังร้องเพลงที่เศร้าโศก เป็นภาษาบาฮาซาอินโดนีเซีย  ให้กับคนหนุ่มสาวชาวอิรักที่แขนขาขาดฟัง  และร้องคร่ำครวญถามว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไรโดยปราศจากแขนขา

โทรทัศน์ทำสำเร็จในการสื่อความหมายที่ต้องการ   ที่ร้านขายนิตยสารแห่งหนึ่งในสนามบิน ผู้หญิงมุสลิมผู้หนึ่ง (รู้ได้จากผ้าคลุมศีรษะของเธอ) เห็นฉันเข้า  ก็ถามฉันว่ามาจากไหน พอฉันตอบไปว่า “อเมริกา” เธอก็พูดเป็นภาษาบาฮาซา พร้อมทำท่าทำทางประกอบ  ด้วยความรู้สึกที่รุนแรงว่าเธอร้องไห้เมื่อเห็นเด็กชายอิรักตัวเล็ก ๆต้องเสียแขนไปเนื่องจากถูกระเบิดของอเมริกา  เธอบอกว่าเธอร้องแล้วร้องอีก นิ้วมือลากลงมาตามแก้ม   และตาก็จ้องมาที่ใบหน้าของฉัน  ฉันเคยคิดว่าอยากที่จะเผชิญหน้า ประเมินและยอมรับคำติเตียนประเทศของฉัน  แต่พอต้องเผชิญเข้าจริง ๆได้ไม่เท่าไหร่  ฉันกลับอดที่จะแก้ตัวสวนออกไปเป็นภาษาบาฮาซาไม่ได้ว่า “คุณคะ คุณเศร้าโศกด้วยหรือเปล่าเมื่อเห็นผู้คนล้มตายที่อาเจะห์ ติมอร์ตะวันออก และ เกาะปาปัว  ด้วยน้ำมือของทหารอินโดนีเซีย  ทำไมถึงไม่มีเรื่องของคนพวกนี้ทางโทรทัศน์เมื่อวานนี้”

ประชาชนชาวอินโดนีเซียทั่วไปต่อต้านการที่อเมริกาบุกอิรักอย่างรุนแรง   ครูสอนภาษาชวาของเราคนหนึ่งซึ่งสาวและสุภาพ และคลุมหน้าเช่นกัน พยายามที่จะอธิบายเรื่องตลกเรื่องหนึ่งให้เราฟัง เป็นเรื่องตลกที่เล่าต่อ ๆ กันมา  เกี่ยวกับวิญญาณของฮิตเลอร์ ที่เข้าไปสิงร่างของ จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช นักศึกษาปริญญาสาขาวิชาศาสนาของมหาวิทยาลัยกัดจาห์ มัดดาคนหนึ่ง ซึ่งกำลังทำการสัมภาษณ์กลุ่มหัวรุนแรงชาวมุสลิม ในย็อกยาการ์ตาบอกกับฉันว่า   ต่อไปนี้สิ่งทิ่เกิดขึ้นในอิรัก จะถูกรวมเข้าอยู่ในรายการการใช้ความรุนแรงอื่น ๆ ซึ่งพวกหัวรุนแรงได้ใช้เป็นหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่าสหรัฐมีการสมคบคิดข้ามชาติที่จะต่อต้านเพื่อนร่วมศาสนาของตน ด้วยเหตุนี้ จะมีการบันทึกเรื่องราวของผู้เคราะห์ร้ายชาวมุสลิมในอิรัก  และจะนำออกเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต  ซึ่งได้มีการเผยแพร่เกี่ยวกับผู้เคราะห์ร้ายชาวมุสลิมในปากีสถาน เชชเนีย อัฟกานิสถาน บอสเนีย ปาเลสไตน์ และที่ใกล้เข้ามา  คือตอนกลางของสุลาเวสี และในมาลูกู (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกาะอัมบน) ซึ่งมีการปะทะกันจนเสียชีวิตระหว่างชาวอินโดนีเซียที่นับถือศาสนาคริสต์และชาวอินโดนีเซียที่นับถือศาสนาอิสลาม

อย่างไรก็ตามกล่าวโดยรวม ปฏิกิริยาของชาวอินโดนีเซียที่มีต่อสงครามในอิรักนั้นนับว่าสงบ  ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสังเกตสำหรับประเทศที่มีชื่อในเรื่องของความผันผวน  การเดินขบวนต่อต้านครั้งใหญ่ที่สุดในระหว่างปฏิบัติการถล่มอิรักของสหรัฐมีขึ้นที่กรุงจาร์การ์ตา มีผู้เข้าร่วมประมาณ 500,000 ถึง หนึ่งล้านคน แต่ไม่มีเหตุรุนแรง  แต่เมื่อมีกลุ่มชายฉกรรจ์ในกรุงจาร์การ์ตาพยายามที่จะดึงประตูรถแท็กซี่ที่มีนักท่องเที่ยวนั่งมา เรื่องนี้กลับกลายเป็นข่าวไปทั่วโลก  ที่ย็อกยาการ์ตาก็มีการเดินขบวนต่อต้านสงครามเช่นกัน  ซึ่งเมื่อเทียบกันแล้ว เป็นการประท้วงเล็ก ๆ สงบ ๆ และบางครั้งก็มีการจุดเทียน และมีตำรวจรายล้อม  เราได้ยินว่าสตรีชาวสเปนผู้หนึ่งที่เข้าร่วมการประท้วงถูกจับและถูกตักเตือนว่าจะถูกเพิกถอนวีซ่าหากเธอทำเช่นนี้อีก

เพื่อน ๆ และคนที่เราคุ้นเคยได้พยายามให้เหตุผลต่าง ๆ นานา เพื่ออธิบายว่าเหตุใดการประท้วงจึงดูเงียบสงบเช่นนี้  เช่น เพราะมีกองกำลังตำรวจแน่นหนาขึ้น  ผู้นำทางการเมืองที่มีอิทธิพลพยายามลดกระแสต่อต้านของประชาชน  ความตื่นตัวและพร้อมหลังจากเกิดระเบิดที่หาดคูตาที่จะปราบปรามเหตุการณ์ที่อาจจะรุนแรงยิ่งขึ้นซึ่งอาจนำไปสู่การออกประกาศเตือนการเดินทางมากขึ้น และท้ายสุด คือการที่ชาวอินโดนีเซียมีปัญหาเร่งด่วนในประเทศมากมายที่ต้องการความเอาใจใส่  ในฐานะคนอเมริกันเราเป็นเป้าสายตา  แต่เราก็ไม่เคยกลายเป็นเป้าของอันตรายดังเช่นที่ประกาศเตือนการเดินทางทำให้เรากลัว  ชาวอินโดนีเซียต่างหากที่ตกอยู่ในอันตรายมากกว่าเราบนผืนแผ่นดินของเขาเอง

อัตราแลกเปลี่ยน

ค่าอาหารกลางวันสองที่ที่โรงอาหารของนักศึกษา  1.80 ดอลลาร์สหรัฐ เ ราคาปลาและไก่ย่างสำหรับมื้อเย็นสองคน ประมาณ 6.40  ดอลลาร์สหรัฐ เป็นค่าเดินทางด้วยรถถีบ 20 นาที จากตลาดมาลิโอโบโรไปยังสี่แยกใกล้กับมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นทางชันเล็กน้อย ทำให้คนถีบต้องเหงื่อตก  เป็นเงินประมาณ 20.20 ดอลลาร์สหรัฐ  ตั๋วชมการแสดงนาฏศิลป์ของชวา ซึ่งมีผู้แสดง 9 คน แต่งตัวอย่างวิจิตร พร้อมวงดนตรี โดยที่คนที่เสียค่าเข้าชมมีแต่คุณและเพื่อนของคุณ (เด็ก ๆ จากหมู่บ้านจะแอบชมการแสดงอยู่หลังรั้ว) ราคาประมาณ 3.30 ดอลลาร์สหรัฐ ถ้าราคานี้คูณสองก็จะได้ชมละครกลางแจ้งในตอนย่ำค่ำจบหนึ่งเรื่อง  ค่าเช่าห้องที่ไม่มีเครื่องเรือนสำหรับนักศึกษา หนึ่งเดือนคิดเป็นเงิน 70,000 รูเปีย (ถ้าอยากทราบว่าเทียบเท่ากับเงินสหรัฐเท่าใดในช่วงต้นปี 2003  ให้ขีดฆ่าเลขศูนย์ออกสามตัว หารด้วยเก้า และบวก ๆ นิดหน่อย  อัตราแลกเปลี่ยนเกือบตลอดระยะเวลาที่เราพักอยู่คือ 8,900 ต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐ) ค่าแรงต่อเดือนของคนงานหญิงที่ทำงานในโรงงานผลิตซิปในชวาตะวันออกคือ200,000 รูเปีย ค่าแรงต่อเดือนสำหรับคนงานหญิงในโรงงานทอผ้าที่มีระดับขึ้นมาหน่อย (ติดป้ายเมดอินอินโดนีเซีย) คือ 750,000 รูเปีย  ค่าแรงต่อเดือนของยามรักษาความปลอดภัย “ของเรา” คือ 400,000 รูเปีย  ค่าแรงของแม่ครัวและคนซักผ้า “ของเรา” คือ 300,000 รูเปีย

ก่อนที่เราจะมาอินโดนีเซีย  เราได้รับการแจ้งว่าบ้านพักในมหาวิทยาลัยจะมียามรักษาความปลอดภัยซึ่งจะพักอยู่ในบริเวณนั้นด้วย และในฐานะผู้เช่าเราจะต้องรับผิดชอบค่าแรงของเขา  พอมีบ้านว่างให้เราเข้าอยู่ได้ เราก็ทราบว่าภรรยาของยาม ซึ่งมีลูกเล็ก ๆ สองคน อายุ 10 ปี และ 2 ปี จะเป็นคนทำอาหารและซักผ้าให้เรา แต่ต้องจ่ายค่าแรงเพิ่มขึ้น  เราไม่รู้จักคนที่พูดภาษาอังกฤษที่ทำอาหารเองในอินโดนีเซีย ทุกคนถ้าไม่มีคนครัว ก็ผูกปิ่นโตกับครอบครัวอื่น หรือไม่ก็รับประทานอาหารที่ร้านอาหาร  หลังจากที่เราย้ายเข้าไปอยู่ เราก็เจรจากันหลายยก ด้วยภาษาพิดจิ้น กับปัก ดับเบิ้ลยู  และ บู สุปรี ซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านพักนอร์เวย์มาเป็นเวลาหลายปี คอยดูแลทรัพย์สิน และรับใช้แขกที่มาพัก  มหาวิทยาลัยเป็นผู้กำหนดอัตราค่าแรงของพวกเขา แต่ยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องตกลงกัน

dollar-xsในช่วงแรก ๆ เราต้องผจญกับปัญหาบางอย่าง  อยู่มาคืนหนึ่ง หลังจากความพยายามที่จะเจรจาด้วยภาษาที่ผสมผสานระหว่างอังกฤษและบาฮาซา แบบผิด ๆ ถูก ๆ  ฉันล้มตัวนอนลงบนเตียง  มือและเท้าร้อนเป็นไฟอย่างประหลาด  เนื้อตัวเต็มไปด้วยเหงื่อ  ท้องอืด มโนธรรมรุมเร้า  ทั้งร้อนทั้งโมโห  ในอกสุมด้วยความสงสัยในเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ    รู้ทั้งรู้ว่าห่างไกลจากสภาพอับจน   แต่ก็ยังอดรู้สึกเช่นนั้นไม่ได้ในบ้านที่ใหญ่โต  ซึ่งมีคนจัดให้ไว้เมื่อเราเดินทางมาถึง  นี่เป็นประสบการณ์แบบอาณานิคมที่สัมผัสได้เองจริง ๆ

ครอบครัวชนชั้นกลางชาวอินโดนีเซียมักจะมีคนรับใช้  โดยเฉพาะแม่ครัว ซึ่งจะมีที่อยู่  “ด้านหลัง” ทุก ๆ บ้านที่เราไปเยือนทั้งคนเชื้อสายแองโกล และเชื้อสายอินโดนีเซีย เราจะเห็นคนรับใช้เสริฟอาหาร และดูแลเด็กเล็ก  ทั้ง ๆ ที่เศรษฐกิจของประเทศมีการขยายตัวอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 30 ปี ตั้งแต่ 2503 ถึง 2533 (เป็นช่วงที่อายุเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 46 ปี เป็น 63 ปี)  ประเทศอินโดนีเซียก็ยังเข้าข่ายเป็น ประเทศ “กำลังพัฒนา” ซึ่งมีแรงงานถูก  นับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจและการเมืองในช่วงปี 2540-2541 จำนวนคนอินโดนีเซียตกงานก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ (ประมาณการอัตราการว่างงานของประเทศ คือ ร้อยละ 50) และถูกบีบให้ต้องหาเลี้ยงชีพใน “ภาคที่ไม่เป็นทางการ”   กิจกรรมค้าขายต่าง ๆ ที่เห็นเต็มไปหมดตามทางเท้า ในย็อกยา ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แผงขายผลไม้ “ร้าน” ซ่อมจักรยานยนต์ ซุ้มขายกุญแจ ทะเบียนรถยนต์ เบนซินขวด  ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในภาคที่ไม่เป็นทางการ  เป็นเครื่องแสดงถึงความรู้จักเอาตัวรอดและความยากลำบาก

ดังนั้น เมื่อมองในแง่หนึ่ง   การที่ ปัก มีอาชีพหลักในการเป็นยามรักษาความปลอดภัยให้แก่มหาวิทยาลัย  ก็อาจจะเป็นเรื่องน่าอิจฉา  แต่จากแง่มุมอื่นเล่า  เงินเดือนของ ปักและบู สมทบด้วยเงินสมนาคุณ รวมกันนั้น ประมาณว่าคงพอที่จะซื้อไวน์ชาร์ดอนเนย์ ได้ 9 ขวด   ไวน์ออสเตรเลียไม่ใช่แคลิฟอร์เนีย  โดยซื้อในราคาหลังร้านขายของชำที่ศูนย์การค้ามาลิโอโบโร

ปัก บู และลูกชายที่ยังเล็กอยู่ทั้งสองคนอาศัยอยู่โดยไม่ต้องเสียค่าเช่า ด้านหลังในห้องนอนเล็ก ๆ  2 ห้องและระเบียงมุงหลังคา โล่ง ๆ ซึ่งมีทางเข้าเป็นประตูในครัว  ทุกคนล้วนแต่ชอบดูโทรทัศน์ แต่ไม่มีโทรทัศน์อยู่หลังบ้าน   ดังนั้นบ่อยครั้งเมื่อกลับถึงบ้านเราจะพบว่ามีคนนั่งบนเก้าอี้หวายในห้องใหญ่  และโทรทัศน์เปิดอยู่ ถ้าสามีและฉันไม่มีงานต้องใช้คอมพิวเตอร์ เรามักจะเข้าไปพักผ่อนในห้องนอน อ่านหนังสือมือสองเรื่อยไปจนถึงเวลา 5 โมงเย็น  ซึ่งเป็นเวลาของข่าว บีบีซี และเราก็จะได้ดูโทรทัศน์ของเรา และเปิดไวน์ดื่ม   ในเดือนเมษายน เวลาประมาณ 5 โมงเย็น  การ์ตูนกระต่ายบั๊ก บันนี่  จะถูกแทนที่ด้วยภาพของควันพวยพุ่งเขียว ๆ  และ “ปฏิบัติการเรื่องราวอันน่าอกสั่นขวัญแขวน” ของกรุงแบกแดดในยามค่ำคืน

เราไม่มีวันล่วงรู้ได้เลยว่าปัก และ บูคิดอย่างไรกับคนอเมริกันสองคนซึ่งแน่นอน  (แต่ก็ไม่ใช่โดยสิ้นเชิง เพราะยังปราศจากบริบท) ว่าหมายถึงเรา ชีวิตที่มีคนรับใช้เป็นชีวิตที่จอมปลอม  เหมือนกำลังแสดงละคร สวนที่ได้รับการดูแลอย่างดีหลังตัวบ้านใหญ่รอบล้อมไปด้วยกำแพง  ยกเว้นด้านหนึ่งมีช่องที่มีเสื่อเก่า ๆ ทำจากหญ้าปิดอยู่   เป็นทางที่ปักและบูจะเดินตัดเมื่อเดินจากบริเวณบ้านที่โล่ง ๆ ของพวกเขาเข้ามาที่สวน “ของเรา”   เพราะว่าเสื่อมีรอยขาด   เราจึงพอมองลอดเข้าไปเห็นข้าวของเครื่องใช้ของพวกเขา  เช่นโต๊ะกลางแจ้งฝีมือหยาบ จักรยาน ราวตากผ้า   ที่พักของเราช่างดูแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว  เห็นได้ชัด จนกระทั่งของใช้ในชีวิตประจำวันดูจะถูกจงใจทำให้เป็นริ้วรอย  จงใจให้ดูโดดเด่นอย่างสุด ๆ   คล้ายกับวัตถุที่ใช้เป็นของประกอบฉากละคร

มีสองสามครั้งเมื่อฉันคุกเข่าหน้าเครื่องโทรทัศน์ในตอนบ่ายแก่ ๆ เพื่อหาสถานีที่จะมีหน้าใจดีฉุ ๆ  ของ จิม แลเรอร์   ฉันจะพบว่าทีวีเปิดค้างไว้ที่ช่องสถานี อัล จาซีรา (Al Jazeera ) ในเดือนเมษายน บริษัทเคเบิ้ลได้ออกอากาศสถานีนี้เป็นภาษา บาฮาซา อินโดนีเซีย  ฉันกับสามีจะเปิดดูเป็นบางครั้งบางคราวเพื่อดูภาพที่ออกอากาศ (ภาพสตรีชาวอิรักยืนข้างเตียงของโรงพยาบาล  ภาพชายชาวอิรักที่มีผ้าพันแผลเต็มไปหมด ภาพเด็ก ๆ นอนบนเตียงโรงพยาบาล ภาพชาวอิรักอ้อนวอนขอน้ำดื่ม ภาพทหารอเมริกันที่แต่งตัวเกินพอดีผลักชาวอิรักไปมา)  แต่ความที่เราไม่เข้าใจภาษาอารบิกสักคำ และไม่เข้าใจภาษาบาฮาซาเสียส่วนใหญ่  เราจึงไม่ได้ดูสถานีนี้นาน  เห็นได้ชัดว่าปัก และ บู ดูรายงานข่าววิเคราะห์เกี่ยวกับสงครามระหว่างอเมริกาและอิรักทางสถานี อัล จาซีรา โดยไม่ได้ขออนุญาตหรือกลัวว่าเราจะไม่พอใจ (ซึ่งหวังเช่นนั้น) นี่เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับฉันน่าพอใจเพราะหมายความว่าฉันและสามีไม่ได้ปกครอง หรือเป็นเจ้าเข้าเจ้าของครอบครัวที่อาศัยอยู่หลังประตูครัวแห่งนี้

จะว่าไปแล้วเราต่างก็เป็นคนในยุคหลังอาณานิคมกันทั้งนั้น  ดำเนินชีวิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในยุคหลังอาณานิคม ครั้งหนึ่งฮอลันดาเคยปกครองอินโดนีเซีย ฝรั่งเศสเคยปกครองเวียดนาม  อังกฤษปกครองพม่า  มาเลเซีย และอินเดีย สเปนปกครองฟิลิปปินส์   อเมริกามีบทบาทในฟิลิปปินส์และเวียดนาม  แต่ระบอบจักรวรรดินิยมก็ได้ปิดฉากลงแล้ว  ชาวอินโดนีเซียได้โค่นล้มระบอบอาณานิคมของบริษัทอินเดียตะวันออกแห่งฮอลันดา และเมื่อไม่นานมานี้ก็ได้โค่นล้มจอมเผด็จการที่ทำตัวเหมือนพ่อปกครองที่ทำตัวเหมือนคุณพ่อปกครองลูกและฉ้อราษฎร์บังหลวง  พร้อมกับครอบครัวที่โกงไม่ไม่รู้จักพอได้เอง โดยปราศจากการแทรกแซงจากประเทศตะวันตก สภาพของผู้มาเยือนในประเทศนี้ไร้ความสำคัญเกือบเหมือนไม่มีตัวตัวตน  อีกไม่ช้าไม่นานก็จะไม่มีใครเห็นคุณ

กระนั้น หลังจากที่ได้หย่อนตัวลงบนรถจักรยานสองล้อข้าง ๆ สามีที่สูง 6 ฟุต 5 นิ้ว ของฉัน โดยมีผู้ชายเอเชีย ผิวสีน้ำตาล ร่างเล็ก แข็งแรง ถีบอย่างนุ่มนวลพาเราข้ามเมือง  ฉันก็อดนึกไม่ได้ว่ามันจะเป็นอย่างไรนะ 

ถ้าได้ใช้ชีวิตในแบบของผู้ปกครองชาวตะวันตก  หรือ ภรรยาของผู้สำเร็จราชการชาวฮอลันดา   ถ้าได้เป็นผู้กุมอำนาจ ถ้าได้มีความสำคัญในอาณานิคมแบบนั้น  ภาระ(ที่เป็น)คนขาว  จักรวรรดินิยมทางเศรษฐกิจของศตวรรษที่ 21 ที่ขนานนามกันว่ายุคโลกาภิวัฒน์ ช่างคล้ายคลึงอย่างเหลือเกินกับระบอบอาณานิคมแบบเก่าที่เดิม ๆ    และในเวลาเพียงไม่กี่เดือนที่ฉันและสามีได้มาอยู่ในอินโดนีเซีย  เรากลายเป็นคนตัวสูงและร่ำรวย  เด่นถนัดตา พำนักอยู่ในบ้านที่มีคนพื้นเมืองรับใช้  ในสภาพเช่นนี้ เราได้ถูกแปลงสภาพ  มีรูปร่างใหญ่ขึ้น  สื่อสารไม่ได้  ขณะเดียวกันกับที่ทหารอเมริกัน  เงาสีขาวที่ยิ่งใหญ่ของเรา กำลังรุกคืบเข้าไปในดินแดนของ อิรัก

ผ้าคลุมหน้า

แม่ของฉัน เคยใช้ชีวิตในประเทศซาอุดิอาระเบียมาก่อน พอทราบว่าเรากำลังจะเดินทางไปอินโดนีเซีย ประเทศที่นับถือศาสนาอิสลาม  ก็พยายามจะให้ยืมชุดหลวม ๆ คอสูง แขนยาว ยาวกรอมเท้าซึ่งท่านเคยสวมสมัยอยู่กรุงริยาดเมื่อยี่สิบปีก่อน  และถามว่าเราจะจ้างคนขับรถหรือไม่  ฉันบอกกับท่านว่าไม่ และ พูดด้วยน้ำเสียงเย็น ๆ ว่า “อินโดนีเซียไม่ใช่ซาอุดิ อาระเบีย”

ไม่กี่เดือนต่อมา ผู้ช่วยทูตวัฒนธรรมประจำสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงจาร์การ์ตา ซึ่งเราได้ไปพบที่ห้องทำงานของเขา เมื่อเขามาต้อนรับเราสู่ประเทศ  พูดเปรย ๆ ออกมาว่า ผ้าคลุมหน้าของชาวมุสลิม กำลังเป็นที่แพร่หลายในอินโดนีเซีย  นี่เป็นเพียงข้อมูลอันน้อยนิดที่เราได้เกี่ยวกับแฟชั่นของสตรีในประเทศที่เราเลือกมาเยือน  หรืออาจเป็นข้อมูลในด้านการเมืองก็ได้  ห้องทำงานของเขารกไปหมด บนพื้นมีกล่องหลายใบตั้งอยู่ เพราะว่าเขาและทูตวัฒนธรรมผลัดกันปฏิบัติภารกิจ   ด้วยเหตุผลในเรื่องสวัสดิภาพ  บุคลากรของสถานทูต ที่ไม่มีความสำคัญได้ถูกส่งตัวออกจากประเทศ  จำนวนเจ้าหน้าที่สถานทูตถูกตัดทอนลง

ฉันและฮิวจ์เพิ่งลงจากเครื่องบินสด ๆ ร้อน ๆ เพิ่งสัมผัสกับภูมิทัศน์  จำได้ว่าพอออกจากสถานทูตเราก็ถูกนำตัวอ้อมเครื่องตรวจจับโลหะ (ไม่จำเป็นเวลาจะออกจากบริเวณ) ผ่านเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสถานทูตหลายคน ไปยังป้อมรักษาความปลอดภัยด้านนอกเพื่อรับหนังสือเดินทางคืน จากนั้นก็เดินผ่านรั้วลวดหนามและเดินบนทางเท้า ที่อยู่หลังเครื่องกีดขวางคอนกรีตซึ่งเอามาตั้งไว้เพื่อขัดขวางระเบิดรถยนต์  เลยออกไปนอกเครื่องกีดขวางนี้ ผู้คนกำลังเดินขบวนต่อต้านสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น ภายใต้การนำของชายใส่หน้ากาก 2-3 คน ที่ตะโกนโหวกเหวก    พอเห็นเราเข้า หนึ่งในนั้นก็วิ่งเหยาะ ๆ ข้ามาหาสามีฉัน ซึ่งเป็นคนตัวสูงอยู่แล้วแม้แต่กับคนอเมริกันเอง เขาโค้งต่ำตั้งแต่เอวแล้วยื่นใบฎีกาที่เราอ่านไม่รู้เรื่อง  ฮิวจ์รับมาทั้ง ๆ ที่ไม่อยากได้

การเผชิญหน้าเช่นนี้สร้างความหวาดผวาให้เราทั้งสอง  หลังจากมาถึงห้องนอนในโรงแรม ซึ่งมีแสงสลัว ๆ และทาสีบัตเตอร์สก็อต   ระเกะระกะไปด้วยกระเป๋าเดินทางที่ยังคงรัดด้วยเทปสีน้ำเงินของฝ่ายรักษาความปลอดภัยที่สนามบิน   เราสารภาพต่อกันว่าได้ภาวนาให้ตำรวจในบริเวณนั้น  หรือเจ้าหน้าที่จากฟูลไบร์ทที่มากับเรา  สกัดชายผู้นั้นออกไปก่อนที่จะเดินเข้ามาใกล้  บางทีความกลัวของเราอาจมีสาเหตุมาจากหน้ากาก …  หน้ากาก เครื่องกีดขวาง รั้วลวดหนาม เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ตำรวจที่ดูเรื่อย ๆ เฉื่อยแฉะ (กำลังขำหรือ) และความตระหนักดีว่าเจ้าหน้าที่อเมริกันในกรุงจาการ์ตาเลือกที่จะอยู่ข้างใน มีรั้วแน่นหนา และประตูลงกลอนแน่น  ในขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะส่งเราเดินทางลึกเข้าไปในอินโดนีเซีย  ไม่ว่าอินโดนีเซียจะอยู่ในสภาวะใด  เพียงเพราะเราระบุว่าต้องการจะไปที่นั่น 

ที่นั่นกลายเป็น “ที่นี่”  ในช่วงสัปดาห์แรกในย็อกยาการ์ตา เรานั่งกับครูสอนภาษาที่อายุน้อยที่สุด ซึ่งมีผ้าคลุมหน้า  เธอมีท่าทางมั่นใจขณะวางบัตรคำศัพท์ลงบนโต๊ะอย่างอดทน  และเราก็ทำแบบฝึกหัดตาม  ในช่วงต้นของการเรียนเป็นครั้งที่สอง เธอยืนขึ้น ท่าทางลุกลี้ลุกลน  เพราะเข็มกลัดที่ตรึงผ้าคลุมไว้ตรงบริเวณคอเกิดหลุด      พอเธอผลุนผลันวิ่งออกไปกลัดให้แน่นเหมือนเดิม  ฉันไม่แน่ใจว่าต่อหน้าคนอื่นเธอจะดูเหนียมอายอย่างนี้หรือไม่ หรือว่าคนอเมริกันอย่างเราทำให้เธอประหม่า

ฉันอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับผ้าคลุมหน้าในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแต่งกายของชาวเอเชีย และในฐานะที่เป็นเครื่องหมายทางการเมือง   และเพราะตอนที่ฉันยังเด็ก ฉันเคยอยากรู้เรื่องของผ้าคลุมหน้าในฐานะที่ช่วยปกปิดทำให้สตรีมีผิวที่อ่อนละมุน    เหมือน ๆ กับนานมาแล้วที่เคยสงสัยเกี่ยวกับเสื้อยกทรง  (จะรู้สึกอย่างไรนะถ้าถอดมันออก แล้วยกทรงที่เป็นยางรัดล่ะเป็นอย่างไร) ขณะที่ครูของเราพรวดพราดลุกขึ้นยืน แล้วเอาปลายผ้ามาปิด  ฉันอยากจะจับตัวเธอเพื่อบอกว่า “นี่แน่ะ ใจเย็น ๆ เด็กน้อย เราเคยเห็นลำคอของคนอื่นมานักต่อนัก รู้ไหมว่าเราเคยเห็นอะไรมาแล้ว การเจาะร่างกาย หัวนม  กางเกงใน  นักศึกษาหอหญิงนุ่งกางเกงในชายที่มีตัวอักษร CORNELL พาดตรงก้นกางเกง   เธอไม่ต้องปกปิดร่างกายเธอไม่ให้เราเห็นหรอก  เราอายุปูนนี้แล้ว และเรามาจากอเมริกา”

สายตาแบบอเมริกันของฉันมองหาหลักฐานว่าสตรีอินโดนีเซีย ที่สวมผ้าคลุมหน้าไม่ได้เป็นพวกต่อต้านตะวันตก หรือต่อต้านสหรัฐอเมริกา (เรา) เป็นสำคัญ  ในการค้นหาอย่างกระวนกระวาย กึ่งรู้ตัว  ฉันจะว่องไวที่จะมองเห็นสัญญานต่าง ๆ ที่บอกว่าผู้หญิงรอบ ๆ ตัวฉันได้โอนอ่อนผ่อนตามกับสิ่งที่เป็นตะวันตก หรือถูกความเป็นตะวันตกกลืน   ที่บอกว่าผู้หญิงพวกนี้ได้แอปเปิ้ลไปแล้ว  ดังนั้นพอเห็นเด็กนักเรียนหญิงมุสลิมกลุ่มหนึ่งแต่งตัวเหมือนกัน นุ่งกระโปรงครึ่งท่อนสีน้ำเงิน เสื้อสีครีม ผ้าคลุมหน้าสีน้ำเงิน สวมรองเท้ากีฬาหนาเตอะ ที่โผล่พ้นชายกระโปรงออกมา  หรือเมื่ออยู่ที่ศูนย์การค้ามาลิโอโบโร ฉันเห็นหญิงคลุมหน้าลงบันไดเลื่อนขณะที่ฉันกำลังขึ้นบันได  พวกเราทุกคนต่างก็เหมือนล่องลอยอยู่ท่ามกลางด้วยร้านเท็กซัส ชิกเก้น แคลิฟอร์เนีย ฟรายด์ชิกเก้น สปอร์ตสเตชั่น  คิดส์สเตชั่น  นอติก้า โปโล แอทลีทส์ฟุต กอล์ฟเฮาส์          รีบอก  เรดเอิร์ธ และ แพลเน็ตเซิร์ฟ  สิ่งเหล่านี้สร้างความอุ่นใจให้ฉัน  พูดสั้น ๆ คือใน ย็อกยา ฉันพบว่าตัวเองตีความความนิยมของคนอินโดนีเซียที่มีต่อสินค้าและวัฒนธรรมของตะวันตกว่าเป็นเครื่องแสดงถึงความไม่หัวรุนแรง  และการปรับตัวเข้าหา   เมื่อผลุบเข้าไปที่นั่งในร้านพิซซ่าฮัท  ในย็อกยา ฉันจะรู้สึกเป็นเจ้าเข้าเจ้าของและเจ้าบ้าน  เหมือนกับตัวตุ๊กตาเลโก้ของแท้จากชุดฟาสต์ฟู้ด  ซึ่งเปิดบ้านพลาสติกเพื่อต้อนรับพ่อมดและนักบินอวกาศ

สำหรับฉันและสามี ผู้หญิงที่เป็นมิตรที่สุดได้แก่นักศึกษา ครูอาจารย์ ซึ่งรวมถึงครูที่ปุรี บาฮาซา และลูกศิษย์ปริญญาโทสาขาอเมริกันศึกษาของฮิวจ์ด้วย พวกนี้ส่วนใหญ่อยู่ในวัยยี่สิบเศษ ๆ พูดได้สองถึงสามภาษา มีทั้งคลุมหน้าและไม่คลุมหน้า ไปไหนมาไหนด้วยกันในรั้วมหาวิทยาลัย  และครั้งหนึ่งเมื่ออยู่เป็นกลุ่มใกล้โรงอาหาร นักศึกษาพวกนี้ได้ยื่นถุงมันฝรั่งทอดกรอบให้กับฮิวจ์ เพราะไม่มีของขวัญอย่างอื่นจะมอบให้  ฉันจำได้ว่าผู้หญิงพวกนี้ทั้งฉลาดทั้งสง่า  แน่ละมีคนอื่น ๆ อีก ในมหาวิทยาลัยที่มีท่าทางไม่รับแขก  บางครั้งบางคราวฉันจะเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินเลี้ยวหัวมุมมาหรือเดินราวกับลอยบนบันได นุ่งดำทั้งตัว กระโปรงครึ่งท่อนยาวและผ้าคลุมหน้าซึ่งยาวลงมาเลยข้อมือและปิดทุกส่วนของใบหน้ายกเว้นดวงตา   ในย็อกยา ไม่ค่อยจะได้พบผู้หญิงที่คลุมหน้าเต็มยศ  พอ ๆ กับที่ไม่ค่อยเห็นคนเชื้อสายแองโกล  ด้วยความที่เธอมีตัวตน และเลือกที่จะแต่งตัวไม่ตามสมัยเช่นนี้  ฉันจึงมักจะมองเห็นหญิงเช่นนี้ว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งประชาธิปไตย   บางครั้งเธอก็ดูราวกับเงาที่ดื้อรั้น

ที่แน่ ๆ คือในชวามีผ้าคลุมหน้ามากมายหลายแบบ  สารพัดเนื้อผ้า สีสัน และความยาว  บางผืนดูหนักไปด้วยข้อความ เมื่อเทียบกับบางผืนที่ไม่มีอะไรเลย   ความพยายามของฉันที่จะอ่านข้อความสำคัญ ๆ ให้ออกมักจะไม่บังเกิดผล  เพราะเจ้ากรรมที่ตาข้างหนึ่งของฉันจะคอยแต่เฉไฉ มองไปโลกทางตะวันตก

amy-camo-indo 

บ่ายวันที่ 20 มีนาคม เราได้ยินข่าวว่ากองทหารสหรัฐ และอังกฤษกำลังเคลื่อนพลเข้าไปในอิรัก  เสียงดัง “คลิก” อัตโนมัติดังขึ้นหลังจากการเจรจาทางการทูตแบบจอมปลอม และการประท้วงทั่วโลก อยู่นานหลาย สัปดาห์    และไฟเขียวก็สว่าง  มีความรู้สึกโล่งอกเมื่ออะไรที่ไม่สามารถควบคุมได้เกิดขึ้นในที่สุด  ตลาดหุ้นกระเตื้อง เพราะความรู้สึกที่ว่านี้  และเราได้รับอีเมล์ที่เล่าสู่ความในใจจากเพื่อนที่ลงทุนในตลาดหุ้น และที่ไม่เห็นด้วยกับสงคราม

เราสับสนกับเวลาบอกไม่ถูกว่ากี่โมงกี่ยามกันแน่  ระเบิดถล่มอิรักในตอนกลางคืนของกรุงแบกแดด แต่รายงานข่าวโดยผู้ประกาศข่าวของอังกฤษ แต่ไม่รู้ว่าอยู่ในกรุงลอนดอนหรือเปล่า เรานั่งดูข่าวครั้งหนึ่งก่อนรับประทานอาหารเช้า และอีกครั้งหนึ่งก่อนอาหารเย็นบนเก้าอี้ยาวที่บ้านของเราในย็อกยาการ์ตา เวลาผู้สื่อข่าวพูดถึง “วันอังคาร” “วันเสาร์” และ “เมื่อคืน”   ผลก็คือเรารู้สึกสับสนไปหมด  ในที่สุดเราก็ยอมแพ้และปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปตามกระแสของเวลา  อย่างน้อยก็รู้ว่าระเบิดที่ปรากฏทางโทรทัศน์ ได้ระเบิดไปแล้ว และไม่ได้กำลังดูระเบิดที่เกิดในอนาคต  อันที่จริงย็อกยาการ์ตาอยู่ห่างจากกรุงแบกแดดสี่ชั่วโมง  ถ้าที่ย็อกยาการ์ตาเป็น เวลา 7.34 น. ที่แบกแดดจะเป็นเวลา 3.34 น.  ซึ่งหมายความว่าดวงอาทิตย์จะฉายแสง เหนือแม่น้ำไทกริส  ประมาณ 4 ชั่วโมงหลังจากที่ส่องแสงเหนือภูเขาไฟบริเวณที่เราอยู่   เราได้เห็นส่วนใหญ่ ๆ ของผืนงโลก สว่างขึ้น ในเวลาต่าง ๆ กัน มีผู้สื่อข่าวประจำอยู่ตามที่ต่าง ๆ สื่อสารผ่านเทคโนโลยีไร้สาย และพูดจากกันโดยเห็นภาพของกันและกัน   ผลัดกันถามผลัดกันตอบด้วยถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน  และหลังจากดวงอาทิตย์ขึ้นในอิรัก  เราจะเห็นภาพของซากปรักหักพังของกรุงแบกแดด ซี่งมีเปลวไฟโชติช่วงพุ่งออกมานอกหน้าต่าง  ซึ่งตามรายงานข่าว เป็น  “อาคารที่ทำการของรัฐบาล” ทั้งสิ้น 

นอกเมือง อุม คาซาร์ ซึ่งมีท่าเรือคนชอบพูดกันว่า มี “ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม” มากมายรอคอยอยู่  แต่ถูกทำให้ล่าช้าเนื่องจากมี “การต่อต้านอย่างดุเดือดในบางจุด”  หลังจากนั้นสองวัน “จุดต่อต้าน” เหล่านั้นก็ดูจะลุกลามขยายตัวขึ้นเรื่อย ๆ  เราเริ่มเห็นภาพของทหารอเมริกันและอังกฤษที่มีอาวุธครบมือ เรียงรายอยู่ข้างหลังเครื่องกีดขวาง  ถ้าสายตาไม่เพ่งเหนือผืนดินว่างเปล่าอันเศร้าสร้อย  ก็อยู่ในอาการลุกลนตามแนวกำแพง  ถูกยิงและคอยยิงต่อสู้ป้องกันตนเอง  ฝ่ายพันธมิตรตกที่นั่งลำบากยิ่งขึ้น  เครื่องเฮลิคอปเตอร์ของอังกฤษตก  ฝ่ายสหรัฐยิงเครื่องบินต่อสู้แบบทอร์นาโดของอังกฤษตก  ทหารอเมริกันผู้หนึ่งโยนระเบิดเข้าไปในเต็นท์ของเพื่อนร่วมชาติของตน  เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ใกล้กับเมือง อัน นาสิริยาห์ ทหารนาวิกโยธินต้องเสียชีวิตเมื่อถูกกองทหารของอิรักที่แกล้งยอมจำนนจู่โจม

ในวันเดียวกันนั้นเอง ทหารอเมริกันกลุ่มหนึ่งทางตอนหลังของขบวนทัพที่กำลังเคลื่อนที่  ถูกโจมตี จับตัวเป็นเชลย และออกอากาศผ่านโทรทัศน์ของอิรัก สหรัฐ ฯ ตอบโต้กลับอย่างเกรี้ยวกราด  และประณามการกระทำเช่นนี้ว่าเป็นการละเมิดอนุสัญญาเจนีวา  ทว่ามีนักวิเคราะห์บางคนตั้งข้อสังเกตว่าก่อนหน้านี้สื่อของตะวันตกเองก็ได้ออกอากาศภาพของเชลยอิรักในสภาพที่ถูกมัดมือมัดเท้า  อาจด้วยสาเหตุนี้ก็ได้ที่จู่ ๆ ก็มีภาพของเชลยอเมริกันโผล่บนจอทีวีของเราที่ย็อกยา  มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งผมสั้นเกรียน สีหน้าหวาดกลัวทำอะไรไม่ถูกแบบเด็ก ๆ ในความคิดของฉัน “เขาไม่รอดหรอก วันนี้เขาอาจมีชีวิตอยู่ แต่พรุ่งนี้หรือวันต่อไปเขาจะถูกทรมานจนตาย  และฉันกำลังมองดูเขาอยู่”   ฝันร้ายของทหารผู้นั้นว่าถูกจับเป็นเชลย (ซึ่งบางครั้งก็เป็นฝันร้ายของฉันเหมือนกัน) กลายเป็นความจริง เขาไม่อาจตื่นจากฝันร้ายนั้นได้  เขาตกอยู่ในกำมือของศัตรู

ตอนนี้ฉันได้ข่าวแล้วว่าทหารคนนั้นและเพื่อนร่วมชาติของเขาได้รับการช่วยเหลือออกมาแล้ว ไม่ได้เสียชีวิต และพอถึงกลางเดือนเมษายนกองกำลังสหรัฐ ฯ ก็ยึดครองกรุงแบกแดดไว้ได้  แต่เมื่อปลายเดือนมีนาคม ซึ่งฉันยังไม่ได้รับทราบข่าวนี้   ฉันได้แต่เฝ้านึกถึงใบหน้าของทหารผู้นั้น ด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง และภายในเหมือนถูกบิดเป็นเกลียวด้วยความรู้สึกทั้งต่อต้านสงคราม แต่ในเวลาเดียวกันหวังว่าทหารอเมริกันจะรีบปฏิบัติภารกิจให้เสร็จสิ้นไปอย่างรวดเร็ว   ในห้องนอนสีดำของฉัน เมื่อใดที่นอนไม่หลับ ฉันจะนึกถึงภาพของประตูที่ถูกพังทลาย ภาพของชายคลุมหน้า ร้องตะโกนเป็นภาษาที่ไม่รู้จัก ห้องแน่นขนัดไปด้วยผู้คน และสว่างพรึ่บขึ้นมาอย่างน่าสะพรึงกลัว  สภาพที่สับสนของฉัน  ทั้งรู้สึกผิดและไม่ยอมให้ใครมาเวทนา ทั้งใฝ่หาสันติและรักชาติ  ทำให้คอยแต่จะสร้างภาพของกลุ่มผู้คุมแค้นภายใต้หน้ากากซึ่งเพียงตูมเดียวก็สามารถทำให้ทุกอย่างชัดเจนขึ้นมา

ตลอดระยะเวลาหลายสัปดาห์หลังจากวันที่ 20 มีนาคม  ธุรกิจในย็อกยายังคงดำเนินต่อไป มีการประท้วงเพื่อต่อต้านสงคราม แต่ดูเหมือนตำรวจจะจำกัดเวลาการทำงาน วันหนึ่งสามีของฉันเล่าให้ฟังว่าเห็นนักศึกษาชุมนุมกันที่วงเวียน ฉันก็เลยเดินไปดู  แต่พอไปถึงที่นั่นพวกเขาก็ไปกันหมดแล้ว เหลือแต่ผู้ขับขี่จักรยานยนต์ที่วิ่งไปรอบ ๆ วงเวียนตามปกติ  ทั่วเมืองจะยังคงเห็นร้านอาหารฟาส์ตฟู้ดอเมริกัน ได้ยินภาษาอังกฤษ และเสียงดนตรีป๊อบอย่างไม่รู้สึกสะทกสะเทือน  นี่ฉันหวังอะไร หวังว่าร้านพิซซ่า ฮัทจะพังครืน ด้วยความอดสูและหวาดกลัวเหมือนร้านอาหารที่เป็นเต็นท์อย่างนั้นหรือ  ร้านเคเอฟซี ยังคงสว่างอยู่ หน้าต่างบานโตไม่เสียหาย ลูกค้าแน่นเต็มร้าน  สถานีข่าวโทรทัศน์ของอินโดนีเซีย ซึ่งผู้สื่อข่าวและผู้ได้รับเชิญล้วนพูดภาษาบาฮาซา อินโดนีเซีย พาดหัวข่าวเป็นภาษาอังกฤษชัดเจนว่า นับถอยหลังถึงวันเลือกตั้ง  ข่าวพาดหัว อิรักถูกโจมตี !   ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าของโรงแรมแรดิสันยังเปิดเพลงที่มีแต่ท่วงทำนองจากละครบรอดเวย์ ซึ่งเรารู้จักเนื้อร้องแล้ว  ในร้านอาหารข้างทางแห่งหนึ่ง  ขอทานที่รอรับค่าทิปเดินแหวกม่านเข้าไปและเริ่มครวญเพลง  “When I was just a ‘lil bitty baby my momma done rocked me in the cradle…”  พอเราให้เศษสตางค์เขาก็หายตัวไปในบัดดล

สภาพการณ์ที่อธิบายไม่ถูกอย่างเหลือเกิน ที่เราเผชิญอยู่ ก็ถูกทาบรัศมีด้วยสงครามที่ยากที่จะเข้าใจ  หรือยิ่งทำให้อธิบายยากขึ้นไปอีก  สงครามซึ่งโฆษกรัฐบาลอเมริกันประกาศอย่างขันแข็งว่าเป็น “การปลดปล่อย” ที่เป็นสิ่งดีงาม  กองกำลังที่มหึมา ไฮเท็ค แข็งแกร่ง และไร้เทียมทาน (อย่างน้อยก็เป็นเช่นนี้ในช่วงต้นปี ค.ศ. 2003) ซึ่งประกาศตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเป็นมิตรเมื่อบุกเข้ามา  ที่จริงแล้วก็คือสัตว์ร้าย หรืออสูร เมื่อมองจากระยะไกล

ในช่วงเวลานี้  ฉันและสามีก็ดำเนินชีวิตตามปกติ  เราว่ายน้ำทุกวัน ตามเวลาเดิม ไม่ได้พยายามจัด “เวลาและเส้นทางในการเดินทางให้มีความแตกต่างกันออกไปในแต่ละครั้ง”  ตามข้อแนะนำของกระทรวงการต่างประเทศ  เราตอบอีเมล์เพื่อยืนยันกับทุกคนว่าอะไร ๆ ดูจะปลอดภัย  ว่าย็อกยายังเงียบสงบ และมีขื่อมีแป ถ้าเราไม่ได้แสดงตัว  ก็เป็นเพราะเรามีงานต้องทำให้เสร็จ  ฉันกำลังตรวจแก้บทความให้เสร็จทันสำหรับวารสารวิชาการ อินโดนีเซีย  ฮิวจ์กำลังตรวจรายงานและเตรียมการสอนวิชาเรื่องสั้นอเมริกัน  ขณะนั้น  บรรยากาศของข่าวโทรทัศน์ก็เริ่มเปลี่ยนแปลง  รถถังของอเมริกาบุกเข้าไปในกรุงแบกแดดได้แล้ว  กองกำลังปฏิวัติของซัดดัม ฮุซเซน หายตัวไปพร้อมกับรัฐมนตรีกระทรวงข้อมูลของอิรัก และแม้แต่ซัดดัม          ฮุสเซน เอง  พวกนี้หายไปไหนกันหมด  สถานีโทรทัศน์ไม่มีภาพของคนพวกนี้ และน้อยคนที่ตั้งข้อสงสัย  กล้องจับภาพไปที่เพดานและห้องน้ำของพระราชวังที่ว่างเปล่าของซัดดัม  ก่อนที่จะตัดภาพไปยังถังใหญ่ขึ้นสนิม ซึ่งไม่ได้บรรจุอาวุธเพื่อการทำลายล้างหมู่

บทความที่จะตีพิมพ์ลงในวารสารที่ฉันตรวจแก้เป็นชิ้นสุดท้ายก่อนจะกลับบ้านใช้ชื่อเรื่องว่า “ข้อมูลในปัจจุบันเกี่ยวกับทหารระดับสูงของอินโดนีเซีย”  เป็นบทความประจำที่มักจะลงชื่อว่า “กองบรรณาธิการ” ดิฉันลงมือตรวจแก้โดยไม่ทันคิดอะไร แต่หลังจากตรวจไปได้2-3 หน้าก็เริ่มเป็นกังวล

บทความที่ว่าบรรยายถึงการฉ้อราษฎร์บังหลวงในกองทัพของอินโดนีเซีย โดยกล่าวว่าความพยายามที่จะปฏิรูปกองทัพแห่งประเทศอินโดนีเซีย) และลดบทบาทของกองทัพที่มีต่อการเมืองของชาติได้หยุดชะงักลงภายใต้การนำของเมกะวัตตี เหล่าผู้เขียนบทความอธิบายว่ากองทหารของอินโดนีเซียได้รับการจัดสรรงบประมาณจากรัฐบาลที่ขัดสนด้านการเงิน เป็นจำนวนเพียงประมาณร้อยละ  30 ของงบประมาณที่ต้องการ  หน่วยทหารต่าง ๆ ในท้องถิ่นจึงต้องพึ่งพากิจกรรม “การหาทุน” ซึ่งผิดกฎหมายหลายอย่าง และบ่อยครั้งต้องเข้าไปมีส่วนในการสร้างสถานการณ์ให้เกิดความขัดแย้งในประเทศ  เพื่อให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องพึ่งพา  “บริการความมั่นคง”  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมขุดเจาะข้ามชาติ อาทิ ฟรีพอร์ท แมคโมรัน เอ็กซอน โมบิล  จากความยุ่งยาก ฟรีพอร์ท แมคโมรันซึ่งเป็นบริษัทเหมืองแร่ที่มีประวัติไม่สะอาดในเรื่องสิทธิมนุษยชน มีธุรกิจในปาปัว  เอ็กซอน โมบิล มีธุรกิจในอาเจะห์     ทั้งสองจังหวัดซึ่งอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติตั้งอยู่บนชายแดนด้านตะวันออกและตรงขวาและซ้ายของอินโดนีเซีย ลัวนแต่มีประวัติอันยาวนานเกี่ยวกับขบวนการแบ่งแยกดินแดน  อาเจะห์เองก็เพิ่งจะประสบหายนะจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์ซ้ำเข้าไปอีก  เมื่อฝ่ายกองทัพปลุกปั่นให้เกิดปัญหาในพื้นที่แถบนี้ ก็มักจะใส่ร้ายผู้ก่อการร้ายแยกดินแดน ตั้งแต่เหตุการณ์วันที่ 11 เดือนกันยายน คำว่าผู้ก่อการร้ายได้เลื่อนสถานภาพทางการเมืองและกลายเป็นเครื่องมือของผู้ใฝ่สันติทั่วโลก บทความดังกล่าวรายงานว่าทหารของอินโดนีเซีย ยังทำตัวเป็นนักฆ่ารับจ้าง และช่วยฝึกฝนคนหนุ่มสาวชาวคริสเตียนและชาวมุสลิมในอัมบนให้สังหารกันและกัน  ดังข้อเขียนของผู้เขียนที่ว่า “น่าขันที่เพื่อความอยู่รอด กองกำลังรักษาความปลอดภัยจึงต้องสร้างความไม่ปลอดภัยให้เกิดขึ้น

ฉันตรวจแก้บทความชิ้นนี้อย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้  ใช้เวลาติดต่อกันสองครั้ง  และส่งบทความกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของเรา  จากนั้นก็ลบมันออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์กระเป๋าหิ้วของฉัน  ฉันไม่ได้ห่วงสวัสดิภาพทางร่างกายของฉัน เพราะไม่ได้มีแผนจะเดินทางไปอาเจะห์หรือปาปัวอยู่แล้ว  แต่ฉันกังวลเรื่องการตรวจตราทางอินเทอร์เน็ต    มีคนเคยเตือนเราว่าความปลอดภัยไม่ว่าจะเป็นเรื่องบัตรเครดิต โทรศัพท์ หรือทางอินเทอร์เน็ตหย่อนยานในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเรายังเคยได้ยินจากเพื่อนฝูงที่อยู่ที่ย็อกยาที่พบว่ายอดค่าใช้จ่ายผ่านบัตรวีซ่าสูงเพราะมีการเรียกเก็บเงินอย่างจากใครก็ไม่รู้จากกรุงมนิลา  ฉันให้กำลังใจตัวเองด้วยการบอกกับตัวเองว่าฉันเป็นเพียงปลาตัวเล็ก ๆ ในบ่อใหญ่ ไม่มีใครอยากจับ  และอินโดนีเซียมีบุคลากรไม่พอที่จะตรวจตราทางอินเทอร์เน็ต เนื่องจากเงินทุนสนับสนุนไม่เพียงพอเป็นแน่แท้

บทความชิ้นนั้นสรุปโดยให้ข้อคิดเห็นว่ารัฐบาลภายใต้การนำของจอร์ช บุช ได้ “สร้างกระแสรณรงค์ต่อต้านการก่อการร้ายไปทั่วโลก”  และว่าการที่สหรัฐ ฯ กดดันเพื่อให้เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยมีผลให้ “กองทหารเพิ่มความแข็งกร้าวมากขึ้น” ในอินโดนีเชีย  การที่สหรัฐ ฯ ทำให้สงครามต่อต้านการก่อการร้ายกลายเป็นเรื่องของการเมืองได้ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมากไปทั่ว

ในเดือนมิถุนายน 2003 หลังจากที่ฉันได้เดินทางออกจากอินโดนีเซียโดยที่สามียังคงอยู่ต่อไป  อินโดนีเซียได้ส่งกองทหารเข้าไปในอาเจะห์  องค์การเพื่อสิทธิมนุษยชนได้กล่าวหาว่าทั้งฝ่ายทหารและกบฏแยกดินแดนต่างละเมิดกฎเกณฑ์อันเป็นเหตุให้ต้องเสียเลือดเนื้อ  โรงเรียนของอาเจะห์หลายแห่งถูกเผา   คนหนุ่มและเด็กหนุ่มถูกสังหาร  ชาวบ้านหลายพันคนต้องไร้ที่อยู่อาศัย เสบียงอาหารขาดแคลน ผลก็คือ ในวันที่ 12  มิถุนายน กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ออกประกาศเตือนการเดินทางออกมาอีกฉบับ ซึ่งก็ไม่ได้มีเนื้อหาแตกต่างไปจากฉบับเก่ามากนัก (“ชะลอการเดินทางทุกอย่าง” “ความรุนแรงอาจปะทุขึ้นโดยแทบไม่รู้ตัว”) ต่างกันที่ว่ามีการระบุเฉพาะเจาะจงถึงอาเจะห์ และขอให้ชาวอเมริกันเดินทางออกจากที่นั่น

ประกาศเตือนฉบับนี้ทำให้ฉันกลัว  ฉันกลัวแทนฮิวจ์  ผืนแผ่นดินที่เคยสงบช่างหดหายไปเร็วเสียนี่กระไร   ฉันยังจำได้ถึงความอิสระและความอึกทึกของย็อกยา จำได้ถึงความสำคัญอันน้อยนิดของตัวฉันที่นั่น  แต่ก็ยังไม่สามารถเดินท่องไปตามถนนเพื่อทำความรู้จักและเรียนรู้พื้นที่อีกต่อไปได้ โดยที่รู้สึกปลอดภัยหรือรู้ว่าควรทำอะไร   และแล้วประเทศอินโดนีเซียก็ดูเลือนหายออกไปทุกที  ถูกเมฆหมอกปกคลุม  ตามมาด้วยข่าวไม่สบายใจที่ทำให้ทั้งประเทศดูสว่างโล่ ราวกับภูเขาไฟทุกลูกกำลังปะทุพร้อมกันและแผ่นดินกำลังแตกสลาย  วันหนึ่งคนคุ้นเคยผู้หนึ่งได้บอกข่าวที่ผิดพลาดกับฉันว่าชาวอเมริกันถูกสั่งให้เดินทางออกจากประเทศอินโดนีเซีย  ฉันรีบอีเมล์ไปหาฮิวจ์ และรอรับคำตอบ  ปวดท้องไปหมด  วันรุ่งขึ้นฮิวจ์ก็ตอบมา  บอกเพียงสั้น ๆ ว่า “อะไรนะ”  ข่าวสำคัญก็คือ เขาออกไปรับประทานอาหารเย็นกับเพื่อน ๆ ที่ร้านอาหารมิลาส และขี่รถจักรยานยนต์ฮอนด้า ลัดเลาะไปตลอด ถึงทางใต้ของมาลิโอโบโร และขับกลับหลังจากมืดแล้ว ไม่เห็นมีปัญหาอะไร

ฉันและสามีไม่มีวันรู้ว่าเราได้หลบหลีกอันตรายอย่างฉิวเฉียดหรือเปล่าตลอดเวลาที่อยู่ในย็อกยาการ์ตา  มีการวางระเบิดในอินโดนีเซียจริง  องค์การที่เรียกร้องให้ทำสงครามศักดิ์สิทธ์ (จิฮัด) สองแห่งคือลัสการ์ จิฮัด (ซึ่งส่งทหารเข้าไปในมาลูกูเพื่อช่วยมุสลิมต่อสู้กับผู้นับถือศาสนาคริสต์) และเจมาห์ อิสลามิยาห์  (ซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีส่วนในการวางระเบิดที่บาหลี)  ได้รับความสนใจจากทั่วโลก  องค์กรทั้งสองมีความสำคัญหรือไม่  เปรียบได้กับการปะทุที่ร้อนแรงในช่วงต้นจากภูเขาไฟที่ต่อต้านตะวันตกและสนับสนุนชาวมุสลิมหรือไม่  หรือเป็นเพียงแต่ควัน หรือเป็นเพียงหุ่นเล็ก ๆ ที่ถูกเชิดให้เห็นเป็นเงาใหญ่โต  จอห์น ซิเดล นักวิชาการผู้หนึ่งให้ความเห็นว่าอันตรายของสงครามศักดิ์สิทธิ์ (จิฮัด) ในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่นับถือศาสนาอิสลามนั้นถูกกองกำลังรักษาความปลอดภัยในอเมริกา อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตเกินจริง เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตน  และว่า “ผู้สนับสนุนจิฮัดในฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียที่จริงแล้วกำลังเตรียมหนีสงครามที่มีแต่แพ้”  ฉันเห็นด้วยกับการวิเคราะห์ของเขา ความเชื่อทางการเมืองและประสบการณ์ในอินโดนีเซียทำให้ฉันเชื่อว่าผู้นำทางการเมืองของเรากำลังปกป้องนโยบายต่างประเทศที่ก้าวร้าวของเราด้วยการทำให้อันตรายที่เกิดจากการก่อการร้ายในต่างประเทศต่อชาวอเมริกันที่อยู่ในบ้านของตนเองนั้นน่ากลัวเกินจริง  ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ไม่เพียงแต่จะทำให้ผู้มีสิทธิ์มีเสียงในการเลือกตั้งของเราเข้าใจโลกใบกว้างใบนี้อย่างผิด ๆ  แต่ยังทำให้เรามีมุมมองที่ผิด ๆ เกี่ยวกับตัวเองและสถานะของเราในโลกใบนั้น  พลเมืองชาวสหรัฐ ฯ ไม่ได้เป็นเป้าของการขู่ทำร้าย หรือการโจมตี อย่างที่ถูกทำให้เชื่อจนไม่ผิดที่จะโต้ตอบด้วยการกระทำที่แข็งกร้าว  

แต่ฉันก็ไม่ได้รู้แน่  ดินแดนที่ฉันไป (เราย่างเท้าเข้าไปบนเกาะเพียงสามจาก หกพันแห่งที่มีประชากรอยู่อาศัย)  ความคล่องแคล่วในการใช้ภาษา  ระยะเวลาที่อาศัยอยู่ที่นั่น ล้วนแต่น้อยเกินไปที่จะทำให้ฉันเหมาะที่จะเป็นผู้ตัดสินสถานการณ์ปัจจุบันหรือทิศทางข้างหน้าของประเทศ   อย่างไรก็ตาม การได้ไปเยี่ยมเยือนที่นั่นได้ก็ได้ทำให้กระดูกฉันสั่นไปหมด และทำให้ผมฉันร่วงหล่น  และฉันจะไม่มีวันลืมเลยว่าอินโดนีเซียนั้นมีจริง ๆ

เด็บเบอราห์ ฮอมเชอร์

Kyoto Review of Southeast Asia. Issue 6: Elections and Statesmen. March 2005 

ดิฉันต้องขอขอบคุณข้อมูลเกี่ยวกับอินโดนีเซียที่ได้รับจากบทความต่อไปนี้

·       จอนห์ ที ซิเดล “โรงเรียนอื่น การจาริกแสวงบุญอื่น ความฝันอื่น ๆ: การเกิดขึ้นและการล่มสลาย  (John T. Sidel, “Other Schools, Other Pilgrimages, Other Dreams: The Making and Unmaking ofJihad in Southeast Asia,”)

·       เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในระยะสามชั่วอายุคน : บทความที่เสนอต่อ เบเนดิกท์ อาร์ โอ จี แอนเดอร์สัน (อิทาคา: สำนักพิมพ์หลักสูตรเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของคอร์แนล, 2003)   (Southeast Asia over Three Generations: Essays Presented to Benedict R. O’G. Anderson (Ithaca: Cornell Southeast Asia Program Publications, 2003).)

·       บรรณาธิการ “ข้อมูลในปัจจุบันเกี่ยวกับทหารระดับสูงของอินโดนีเซีย  ระหว่าง 1 กุมภาพันธ์ 2001 ถึง 31 มกราคม 2003)  อินโดนีเซีย 75 (เมษายน 2003)   (The Editors, “Current Data on the Indonesian Military Elite, February 1, 2001 through January 31, 2003,” Indonesia 75 (April 2003).)

 และต้องขอขอบคุณสมาคมฟุลไบร์ทและมูลนิธิแลกเปลี่ยนระหว่างอเมริกาและอินโดนีเซีย สำหรับความสนับสนุน