เมื่อไม่นานมานี้มีรายงานจาก Freedom House, 1 IDEA 2 และ Reporters Without Borders 3 ที่ชี้ให้เห็นว่า ภายในโลกดิจิทัลของอินโดนีเซียนั้นมีปัญหาต่อเนื่องเกี่ยวกับพื้นที่ของภาคประชาสังคมที่หดตัวลง รายงานเหล่านี้สอดคล้องกับรายงานระดับชาติจาก Indonesian National Human Rights Institution และการสำรวจความคิดเห็นประจำปี 2020 ของหนังสือพิมพ์รายวัน Kompas ที่แสดงให้เห็นว่า 36% ของประชากรอินโดนีเซียรู้สึกไม่ปลอดภัยต่อการแสดงความคิดเห็นในสื่อสังคมออนไลน์ 4
การมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 204.7 ล้านราย (มกราคม 2022) หรืออย่างน้อย 73.7 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมด 5 อินโดนีเซียมีความเป็นอำนาจนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ช่วงต้นของการเกิดโรคระบาดโควิด-19 รัฐบาลมักใช้คำศัพท์อย่างเช่น “ปกป้องความมั่นคงของชาติ” และ “สร้างเสถียรภาพ” เพื่ออ้างความชอบธรรมให้แก่การผลักดันกฎหมายกดขี่ฉบับใหม่มาใช้กับโลกดิจิทัลของประเทศ 6 ตามรายงานประจำปี 2020 ของ SAFEnet อินโดนีเซียประสบกับพัฒนาการที่น่าเป็นห่วงในสามประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับระบบเผด็จการดิจิทัล กล่าวคือ การสอดแนม การเซนเซอร์และการปิดปาก และการตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต
การสอดแนมจากภาครัฐในโลกดิจิทัล
หลังจากโรคระบาดเริ่มขึ้นในอินโดนีเซียเมื่อเดือนมีนาคม 2020 ประธานาธิบดีโจโกวีสั่งให้หน่วยงานด้านข่าวกรองของรัฐคอยดูแลระเบียบสังคมอย่างเข้มงวด ในเวลาเดียวกัน ประธานาธิบดีและรัฐบาลกลับยังคงส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศต่อไป โดยอ้างว่าอินโดนีเซียปลอดภัยต่อการมาท่องเที่ยวและไวรัสสายพันธุ์โคโรนาจะไม่ระบาดในประเทศนี้เนื่องจากอินโดนีเซียมีสภาพภูมิอากาศเขตร้อน หนึ่งเดือนต่อมา ตำรวจเริ่มควบคุมเนื้อหาเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรคระบาด โดยเฉพาะในสื่อสังคมออนไลน์ คำสั่งตำรวจเลขที่ No. ST/1100/IV/HUK.7.1.2020 ลงวันที่ 4 เมษายน 2020 ให้อำนาจในภาวะฉุกเฉินแก่ตำรวจในการปฏิบัติภารกิจ “ลาดตระเวนในโลกไซเบอร์” และคอยติดตามสอดส่องการพูดคุยถกเถียงในโลกออนไลน์ โดยมุ่งเป้าไปที่ความคิดเห็นที่ถูกกล่าวหาว่าเผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับโรคโควิด-19 หรือการรับมือกับโรคระบาดของรัฐบาล หรือแม้กระทั่งการวิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดีและเจ้าหน้าที่รัฐบาลในการจัดการกับวิกฤตการณ์ครั้งนี้ คำสั่งอีกฉบับหนึ่งที่ออกมาเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2020 มีคำแนะนำให้สร้างเนื้อหาเรื่องราวตอบโต้ คัดค้านการประท้วงในโลกดิจิทัลหรือการรณรงค์ของกลุ่มภาคประชาสังคมที่ต่อต้านกฎหมาย Job Creation Law ในช่วงปลายปี 2020
มีการเริ่มใช้ตำรวจไซเบอร์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2021 หน่วยตำรวจใหม่นี้มีอำนาจในการส่งสัญญาณเตือนไซเบอร์แก่พลเมืองเน็ต (netizen) โดยถือเป็นคำเตือนก่อนจับกุม สัญญาณเตือนไซเบอร์นี้ประกอบด้วยคำเตือนและคำสั่งให้ลบโพสต์ใดๆ ที่ถูกรายงานแก่ตำรวจ ระหว่าง 23 กุมภาพันธ์จนถึง 11 มีนาคม 2021 ตำรวจไซเบอร์ส่งสัญญาณเตือนไซเบอร์ถึง 125 ครั้งและกักขังประชาชนไว้ 3 คน การก่อตั้งตำรวจไซเบอร์เช่นนี้ทำให้การเซนเซอร์ตัวเองกลายเป็นสิ่งที่ปฏิบัติกันทั่วไปมากขึ้นในอินโดนีเซีย ถ้าใครสักคนถูกรายงานว่าสื่อสารในเรื่องที่ไม่เหมาะสม ตำรวจจะส่งคำแนะนำให้ลบโพสต์นั้นทันที ลักษณะนี้สร้างบรรยากาศแห่งความกลัวขึ้นมาในโลกดิจิทัลของประเทศ
ระหว่างช่วงโรคระบาดโควิด-19 มีการริเริ่มนำแอพพลิเคชั่นในการติดตามผู้สัมผัสโรคที่มีชื่อว่า PeduliLindungi มาใช้ในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2020 โดยกระทรวงโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศของอินโดนีเซีย (Ministry of Communication and Information Technology–MCIT) และกระทรวงรัฐวิสาหกิจ (Ministry of State-Owned Enterprises–MSOE) เพื่อติดตามความเสี่ยงในการสัมผัสโรคโควิด-19 จากผลการตรวจสอบของภาคเอกชนโดย DigitalReach 7 และ CitizenLab 8 พบว่า PeduliLindungi Version 2.2.2. (เมื่อใช้บลูทูธ) สามารถส่งออกข้อมูล WIFI, MAC address รวมทั้ง IP address ในประเทศของผู้ใช้ด้วย โดยรวมแล้ว แอพนี้เอื้อให้หน่วยงานรัฐสามารถเข้าถึงข้อมูลระดับสูงเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของบุคคลคนนั้น ถึงแม้ว่าต่อมาจะมีการนำ PeduliLindungi อีกเวอร์ชั่นหนึ่งมาใช้แทน แต่ก็ยังมีปัญหาการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้อยู่ดี ส่วนแอพพลิเคชั่นอื่นๆ ที่รัฐบาลนำออกมาใช้ในภายหลังที่เกี่ยวข้องกับการติดตามผู้สัมผัสโรคและโรคระบาดโควิด-19 จึงตกอยู่ภายใต้การจับตาตรวจสอบอย่างใกล้ชิดในส่วนของการเก็บข้อมูลผู้ใช้แอพ
การปิดปากและการเซนเซอร์ในโลกดิจิทัล
กฎหมายอินเทอร์เน็ตที่มีอยู่แล้วในอินโดนีเซียกลายเป็นอาวุธที่มักนำมาใช้ปิดปากฝ่ายที่วิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐบาล ถึงแม้กลุ่มอื่นๆ ก็นำไปใช้อย่างกว้างขวางเช่นกัน อาทิ นักการเมืองและนักธุรกิจ กฎหมายนี้ไม่เพียงใช้กับผู้วิพากษ์วิจารณ์ที่เป็นบุคคลทั่วไปเท่านั้น แต่ยังใช้ปิดปากนักกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนและสื่อมวลชนด้วย โดยเฉพาะสื่อมวลชนที่ติดตามตรวจสอบผลกระทบของโครงการพัฒนาที่มีต่อสิ่งแวดล้อม
โรคระบาดโควิด-19 เปิดช่องให้เจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายฉวยโอกาสใช้สถานการณ์ฉุกเฉินมาปิดปากการแสดงความคิดเห็นในโลกดิจิทัลโดยอาศัยกฎหมายอินเทอร์เน็ตที่มีอยู่แล้วและกฎข้อบังคับคล้ายๆ กัน จากการใช้กฎหมายที่มีบทลงโทษรุนแรงเช่นนี้ นักกิจกรรมที่ใช้บัญชีสื่อสังคมออนไลน์เพื่อประท้วงมักถูกดำเนินคดีตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเฮทสปีชและการหมิ่นประมาทออนไลน์ หรือกระทั่งข้อหากบฏในกรณีของนักกิจกรรมชาวปาปัว
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติอินโดนีเซีย (Komnas HAM) แถลงว่าในช่วงระหว่างปี 2020-2021 กรณีการละเมิดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเกือบทั้งหมดเกิดขึ้นในโลกดิจิทัล 9 ระหว่างช่วงเกิดโรคระบาดโควิด-19 Komnas HAM ได้รับรายงานจำนวนมากเกี่ยวกับการแฮ็คข้อมูลของผู้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลในสื่อและองค์กรภาคประชาสังคม ตัวอย่างหนึ่งของกรณีแบบนี้ก็คือการโจมตีสำนักข่าวออนไลน์ Tirto.id ซึ่งถูกแฮ็คเกอร์ที่ไม่ทราบว่าเป็นใครบุกรุกออนไลน์เข้ามาถอดหรือลบบทความข่าวบางชิ้น โดยเฉพาะบทความที่วิพากษ์วิจารณ์การรักษาโรคโควิด-19 ของหน่วยงานรัฐบาลอินโดนีเซีย
การกดขี่ทางเทคโนโลยีในรูปของการโจมตีทางไซเบอร์นั้น เกิดขึ้นบ่อยครั้งกว่าเดิมในอินโดนีเซียมาตั้งแต่ปี 2020 ตามรายงานสถานการณ์ด้านสิทธิทางดิจิทัลประจำปี 2020 ของ SAFEnet มีการโจมตีทางไซเบอร์อย่างน้อย 147 กรณีเกิดขึ้นในปี 2020 เฉพาะในเดือนตุลาคม 2020 เดือนเดียวมีมากถึง 41 กรณี นี่เป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจากแค่ 8 กรณีต่อเดือนในปีก่อนหน้านั้น 10 การโจมตีทางดิจิทัลเกือบทั้งหมดเกี่ยวข้องกับฝ่ายที่วิพากษ์วิจารณ์นโยบายรัฐบาลในหลายประเด็นดังที่หยิบยกไปแล้วข้างต้น สำหรับปี 2021 จำนวนการโจมตีทางดิจิทัลเพิ่มขึ้นรวมทั้งหมดเป็น 193 กรณี โดยมีอัตราเฉลี่ย 16 กรณีต่อเดือน 11
การตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต
การตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต ดังที่ AccessNow อธิบายไว้ มันคือการจงใจขัดขวางการใช้อินเทอร์เน็ตหรือการสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์ภายในกลุ่มประชากรกลุ่มหนึ่งหรือภายในพื้นที่แห่งหนึ่ง ด้วยการทำให้เข้าถึงสัญญาณไม่ได้หรือใช้การไม่ได้เลย มักมีจุดมุ่งหมายเพื่อควบคุมการไหลเข้าออกของข้อมูลข่าวสาร 12 ในขณะที่ OONI (Open Observatory of Network Intervention) นิยามการเซนเซอร์ออนไลน์ อาทิ การบล็อกแอพหรือบล็อกบางเว็บไซท์ โดยถือว่าเป็นรูปแบบอย่างหนึ่งของการตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตหรือการตัดสัญญาณบางส่วน
ในเดือนสิงหาคม 2019 รัฐบาลโจโกวีสำแดงให้เห็นธาตุแท้ของความเป็นอำนาจนิยมในวิธีจัดการความไม่สงบในจังหวัดปาปัว ไม่เพียงมีการใช้มาตรการกดขี่โดยกองกำลังด้านความมั่นคง แต่รัฐบาลโจโกวียังตัดสินใจที่จะใช้การตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตอย่างเต็มรูปแบบเพื่อสนับสนุนการปราบปรามด้วยกองทัพ นี่เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลอินโดนีเซียใช้มาตรการตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตอย่างสิ้นเชิงเป็นมาตรการเสริม รัฐบาลตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตในจังหวัดปาปัวเป็นเวลา 338 ชั่วโมง เริ่มต้นด้วยการทำให้สัญญาณช้าลงในวันที่ 19-21 สิงหาคม 2019 ตามมาด้วยการตัดสัญญาณอย่างสิ้นเชิงในวันที่ 22 สิงหาคมถึง 4 กันยายน 2019 ภายใต้ข้ออ้างว่าเพื่อป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารปลอมในปาปัวและปาปัวตะวันตก
ในปี 2020 มีรายงาน 4 ครั้งอ้างว่ามีการจำกัดปริมาณการรับและการส่งข้อมูล (bandwidth) ของอินเทอร์เน็ต (หรือการตัดสัญญาณบางส่วน) ในจังหวัดปาปัวและปาปัวตะวันตก 13 ในปี 2021 มีการตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตอีก 12 ครั้ง มี 8 ครั้งที่เชื่อว่าเกี่ยวโยงโดยตรงกับปฏิบัติการทางทหารของกองทัพอินโดนีเซีย 14
การปั้นแต่งความคิดเห็นออนไลน์
จากรายงาน Universitas Diponegoro 2019 15 ตามมาด้วยรายงานของ KITLV-LP3ES-Undip-ISEAS ในปี 2021 รายงานทั้งสองฉบับเปิดเผยให้เห็นว่า รัฐบาลอินโดนีเซียใช้นักรบรับจ้างไซเบอร์มาสนับสนุนนโยบายปิดปากของตนในช่วงเกิดโรคระบาดโควิด-19 นักรบรับจ้างไซเบอร์ 16 ดังที่นิยามด้วยคำนี้ภายในบริบทของประเทศอินโดนีเซีย หมายถึงเครือข่ายหลวมๆ ของนักสร้างกระแส นักจัดกิจกรรม อินฟลูเอนเซอร์ คอนเทนต์ครีเอเตอร์และที่ปรึกษาทางการเมือง ซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อปั้นแต่งความคิดเห็นของสาธารณชนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ด้วยการสร้างเรื่องเล่าแม่บทบางอย่างขึ้นมาในประเด็นทางการเมืองหนึ่งๆ การให้ทุนอุดหนุนแก๊งนักรบไซเบอร์พวกนี้มาจากนักการเมือง พรรคการเมืองและนักธุรกิจ 17 การปฏิบัติงานของนักรบรับจ้างไซเบอร์และการปั้นแต่งความคิดเห็นของสาธารณชนมีเป้าหมายเพื่อปั้นแต่งให้เกิดความยินยอมพร้อมใจต่อนโยบายอันไม่เป็นที่น่านิยมซึ่งนำมาใช้ตลอดช่วงที่เกิดโรคระบาดโควิด-19 วิธีการคือการเผยแพร่เรื่องหลอกลวงและข่าวปลอม พร้อมกับล่าแม่มดและรังควานฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล 18Inside Indonesia, “The Threat of Cyber Troops”, last modified 2022, https://www.insideindonesia.org/the-threat-of-cyber-troops/ref]
รัฐบาลอินโดนีเซียประสบความสำเร็จในการครอบงำพื้นที่สาธารณะทางดิจิทัลของประเทศ และป้องกันไม่ให้มันกลายเป็นพื้นที่เสรีที่รับฟังเสียงของนักกิจกรรมภาคประชาสังคม ด้วยเหตุนี้ การปั้นแต่งความคิดเห็นของสาธารณชนในโลกออนไลน์โดยอาศัยนักรบรับจ้างไซเบอร์ อาจถือว่าเป็นสัญญาณหนึ่งที่น่าวิตกยิ่งขึ้นเกี่ยวกับการขยายตัวของระบบเผด็จการดิจิทัลในประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลก
เมื่อคำนึงถึงพัฒนาการทั้งหมดที่บรรยายเค้าโครงให้เห็นข้างต้น อินโดนีเซียกำลังเคลื่อนช้าๆ มุ่งหน้าสู่ระบบเผด็จการดิจิทัลที่เข้มข้นขึ้นกว่านี้แน่นอน ถึงแม้นักกิจกรรมภาคประชาสังคมและคนรุ่นใหม่ในอินโดนีเซียพยายามสกัดขัดขวางมิให้ระบบเผด็จการดิจิทัลเติบโตมากไปกว่านี้ แต่อนาคตไม่แน่นอนและไม่มีความชัดเจนว่าอินโดนีเซียจะสามารถพลิกกลับความถดถอยของระบอบประชาธิปไตยดังที่ประสบมาตั้งแต่กลางทศวรรษที่ 2010 ได้หรือไม่
Damar Juniarto
Damar Juniarto เป็นผู้อำนวยการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง SAFEnet (Southeast Asia Freedom of Expression Network).
Banner: Jakarta, Indonesia-June 2021-Police and TNI officers wear hazmats during the operation of the COVID-19 hunting team. Photo: Wulandari Wulandari, Shutterstock
Notes:
- Freedom House, Freedom on the Net 2020: Indonesia, https://freedomhouse.org/country/indonesia/freedom-net/2020 ↩
- IDEA Global State of Democracy, 2019, https://www.idea.int/publications/catalogue/global-state-of-democracy-2019 ↩
- Reporters Without Borders’ (RSF), Indonesia, 2021, https://rsf.org/en/indonesia ↩
- Survei Komnas HAM Refleksi 20 Tabun Undang-Undang Hak Asasi Manusia https://www.komnasham.go.id/index.php/laporan/2020/02/14/61/survei-komnas-ham-refleksi-20-tahun-undang-undang-hak-asasi-manusia.html ↩
- Data Reportal Indonesia 2022, last modified 18 February 2022, https://datareportal.com/reports/digital-2022-indonesia ↩
- Damar Juniarto, “The Rise of Digital Authoritarianism in Indonesia”, ASEANFocus, Issues 4/Dec 2020 page 13, https://www.iseas.edu.sg/wp-content/uploads/2020/12/ASEANFocus-December-2020.pdf ↩
- Digital Reach, Digital Contact Tracing Indonesia, 2020 https://digitalreach.asia/digital-contact-tracing-indonesia/ ↩
- CitizenLab, An Analysis of Indonesia and Philippines governmenrt launch Covid-19 apps, 2020 https://citizenlab.ca/2020/12/faq-an-analysis-of-indonesia-and-the-philippines-government-launched-covid-19-apps/ ↩
- Indonesia National Commission of Human Rights, Annual Report 2019, https://www.komnasham.go.id/index.php/laporan/2020/12/09/76/laporan-tahunan-komnas-ham-2019.html ↩
- Southeast Asia Freedom of Expression Network, Digital Situation Report in Indonesia 2020: Digital Repression Amid The Pandemic, https://safenet.or.id/2021/05/digital-situation-report-2020/ ↩
- [1] Southeast Asia Freedom of Expression Network, Digital Situation Report in Indonesia 2021: The Pandemic Might Be Under Control, But Digital Repression Continues, https://safenet.or.id/2022/03/in-indonesia-digital-repression-is-keep-continues/ ↩
- AccessNow, “No Internet Shutdowns, let’s keep it on”, https://www.accessnow.org/no-internet-shutdowns-lets-keepiton/ ↩
- [1] Southeast Asia Freedom of Expression Network, Digital Situation Report in Indonesia 2020: Digital Repression Amid The Pandemic, https://safenet.or.id/2021/05/digital-situation-report-2020/ ↩
- Southeast Asia Freedom of Expression Network, Digital Situation Report in Indonesia 2021: The Pandemic Might Be Under Control, But Digital Repression Continues, https://safenet.or.id/2022/03/in-indonesia-digital-repression-is-keep-continues/ ↩
- Wijayanto, Ph.D, Dr. Nur Hidayat Sardini, Gita Nindya Elsitra, Orisa Irhamna, Laporan Penelitian Menciptakan Ruang Siber yang Kondusif Bagi Pegiat Anti-Korupsi, Universitas Diponegoro 2019 ↩
- Inside Indonesia, “Cyber Mercenaries vs The KPK”, last modified 2022, https://www.insideindonesia.org/cyber-mercenaries-vs-the-kpk ↩
- Inside Indonesia, “Organisation and Funding of Social Media Propaganda”, last modified 2022, https://www.insideindonesia.org/organisation-and-funding-of-social-media-propaganda ↩