Issue 40

การฮั้วของพรรคการเมืองในอินโดนีเซีย: เส้นทางสู่ประชาธิปไตยไร้ฝ่ายค้าน

วันที่ 20 ตุลาคม 2024 ปราโบโว ซูบียันโตปฏิญาณตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่แปดของอินโดนีเซีย หลังจากได้คะแนนเสียงมากกว่า 58% ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2024[1]  ความสำคัญของการเลือกตั้งครั้งนี้อยู่ที่กลุ่มแนวร่วมทางการเมืองต่างๆ แปลงร่างกลายเป็นการฮั้วกันทางการเมือง ซึ่งเท่ากับนำพาอินโดนีเซียไปสู่เส้นทางของการมีฝ่ายค้านที่อ่อนแอ กระทั่งกลายเป็น “ประชาธิปไตยไร้ฝ่ายค้าน” แนวร่วมพรรคการเมืองเหล่านี้มักจับกลุ่มกันเพราะหวังผลเชิงปฏิบัติมากกว่าอุดมการณ์ และขับเคลื่อนด้วยข้อตกลงการจัดสรรแบ่งปันอำนาจในหมู่ชนชั้นนำทางการเมือง ยิ่งผ่านมาหลายปีก็ยิ่งขยายกลายเป็นการฮั้วกันทางการเมืองเพื่อช่วงชิงอำนาจ[2]  ผลลัพธ์สุดท้ายของแนววิธีนี้ก็คือ พรรคการเมืองเพิกเฉยต่อแรงจูงใจเริ่มแรกที่จะปรับปรุงระบบเลือกตั้งของอินโดนีเซียให้มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นและวางรากฐานให้เกิดการตรวจสอบและถ่วงดุลที่มีอิสระ  แทนที่จะทำเช่นนั้น กลับหันไปส่งเสริมเครือข่ายอุปถัมภ์และลดทอนการแข่งขันในการเลือกตั้ง ถึงแม้การจับกลุ่มเป็นแนวร่วมทางการเมืองช่วยอำนวยความสะดวกในการบริหารประเทศ แต่การแปรสภาพเป็นกลุ่มฮั้วทางการเมืองเป็นการบ่อนเซาะความสุจริตและเป็นธรรมของการเลือกตั้งในหลายทางด้วยกัน การรวมหัวจับมือกันในหมู่พรรคการเมืองพรรคใหญ่ แทนที่จะแข่งขันกัน นำไปสู่ผลการเลือกตั้งที่กำหนดไว้แล้วล่วงหน้า[3]  ในอินโดนีเซีย ผลประโยชน์ของชนชั้นนำมักมีความสำคัญเป็นอันดับต้นมากกว่ากระบวนการประชาธิปไตยที่แท้จริง  ส่งผลให้เกิดภาวะชะงักงันในด้านนโยบายและโครงสร้างการเลือกตั้งที่อ่อนแอลง ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปและการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่มีความหมาย[4]  มันกลายเป็นการให้ท้ายวงจรอุบาทว์ทางการเมือง จนไม่ใช่เรื่องผิดปรกติในอินโดนีเซียที่ผู้สมัครแข่งขันในการเลือกตั้งจะกลับลำหนุนหลังคู่แข่งของตนทันทีที่วาระดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสิ้นสุดลง การแปรสภาพแนวร่วมในการเลือกตั้งกลายเป็นการฮั้วทางการเมืองถือเป็นปัญหาท้าทายครั้งใหญ่ต่อคุณภาพของการเลือกตั้งแบบหลายพรรค  มันจำกัดโอกาสของการมีผู้สมัครรับเลือกตั้งที่หลากหลาย […]

Issue 40

インドネシアの政党カルテル 野党不在の民主主義へ

2024年2月の大統領選挙で、投票数の58%以上を確保したプラボヴォ・スビアント(Prabowo Subianto)が2024年10月20日にインドネシア第8代大統領に就任した。[1]この選挙で重要なのは、カルテル化した政治連合が、いかにしてインドネシアを弱い野党の国から、「野党不在の民主主義」の国へと導いたのかである。 しばしば、イデオロギー的というより、実用的なこれらの連合は、政治エリート間の権力分有(power sharing)の取り決めで動かされる。これらの連合は、ここ数年の間に、政権を掌握するためのカルテルと化し、拡大を続けてきた。[2] だが、結局、この手法は、この国の選挙制度の民主化と、独立したチェック・アンド・バランスの導入という、当初の意図をないがしろにする結果をもたらした。そればかりか、カルテル化により、パトロネージ・ネットワーク(patronage networks)が確立され、選挙の競争力も低下した。 確かに、連合は統治を容易にするが、連合のカルテル化は、選挙の清廉性を複数の方法によって損ねる。そもそも、主要政党同士が競争をせず、協力関係を育めば、あらかじめ決まった選挙結果が導かれる。[3]インドネシアでは、しばしば、真の民主化より、エリートの利益が優先され、政策が停滞し、選挙の枠組みが脆弱化して、改革や有意義な政治的変化が阻止される。[4]また、閉鎖的な政治サイクルを助長するように、インドネシアでは大統領の任期が終わると、対立していた候補者が、対立相手を支援する例も珍しくない。 こうして、選挙連合のカルテル化は、多様な候補者の機会を制限し、エリート一族に政治権力を集中させ、多党制選挙の質に重大な問題を与える。特に、これは政治方針を均一化させ、代替的見解を提唱して独立したチェック・アンド・バランスの役割を担う代表を得るという有権者の権利を奪うものだ。 大統領直接選挙に向けた展開 インドネシアで民主主義への移行が始まったのは、当時の大統領で独裁者のスハルトが辞任した後の1998年だ。 ここで重要なのは、民主化改革以前に、立法府の役割を担う国民協議会(the People’s Consultative Assembly: MPR)によって大統領が選ばれていた事だ。また、スハルト時代のMPRには、「認可された」3政党出身の選出議員、任命された国軍系議員と地方代表がいた。 スハルトの副大統領を務めていたバハルディン・ユスフ・ハビビ(Bacharuddin Jusuf Habibie /BJ ハビビ)は、1998年にスハルトの辞任を受けて大統領となった。その後、ハビビは大統領として、開かれた政治と、地方分権化を目標とした重要な改革に着手した。特筆に値するのは、ハビビが1999年に政党法(the Law on Political Parties)を推進し[5]、スハルト政権下では3つに限られていた政党数を増やした事だ。 なお、BJハビビは、自身の政党からの圧力もあり[6]、1999年大統領選挙には出馬しない選択をしたが、この選挙自体には、多党制民主主義への見事な移行が表れていた。こうして、新たな政党法(Political Parties Law)の下、48政党がMPRの下院に当たる国民代表協議会(the People’s Representative Council /DPR)[7]議員の選出に向けて競い合った。 この時、インドネシア初代大統領、スカルノの長女、メガワティ・スカルノプトリ(Megawati Sukarnoputri)率いる闘争民主党(Indonesian Democratic Party […]

Issue 40

အင်ဒိုနီးရှားရှိ ပါတီကာတယ်များ- အတိုက်အခံကင်းရှင်းသည့် ဒီမိုကရေစီသို့

၂၀၂၄ ဖေဖော်ဝါရီ သမ္မတ ရွေးကောက်ပွဲတွင် ၅၈% ကျော်သော မဲများဖြင့် အနိုင်ရရှိပြီးနောက် ၂၀၂၄ ခုနှစ် အောက်တိုဘာ ၂၀ ရက်နေ့တွင် ပရာဘိုဝို ဆူဘီယန်တိုသည် အင်ဒိုနီးရှား၏ ရှစ်ယောက်မြောက် သမ္မတအဖြစ် ကျမ်းသစ္စာကျိန်ဆိုခဲ့ပါသည်။ ဤရွေးကောက်ပွဲ၏ ထူးခြားချက်မှာ အင်ဒိုနီးရှားကို အားနည်းသည့် အတိုက်အခံမှသည် “အတိုက်အခံကင်းရှင်းသည့် ဒီမိုကရေစီ” ဆီသို့ ဦးတည်စေနိုင်သည့် နိုင်ငံရေး မဟာမိတ် ကာတယ်များ (အချင်းချင်းညှိ၍ အပြိုင်မလုပ်ဘဲ အမြတ်ထွက်ရန် ကြံစည် […]