เลือดสีน้ำเงินแห่งอัสตานา ผู้เขียน —Ibrahim A. Jubaira

Ibrahim A. Jubaira

ผู้แปล  ปทมา อัตนโถ (Patama Attanatho)

        แม้หัวใจจะไม่ยี่หระอีกต่อไปแล้ว แต่จิตใจก็ยังมีภาพเหล่านั้นวกกลับมาอยู่ร่ำไป  จิตใจยังคงดึงภาพในอดีตกลับมาได้เสมอ ก็เพราะมีสิ่งต่างๆ ให้จดจำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นชีวิตวัยเด็กอันแสนจะจืดชืดซึมเศร้า ช่วงที่แสนจะมีความสุขกันในวันแดดกล้า หรือเรื่องความรักแอบแฝงและชะตากรรมที่เล่นตลก   ผมจึงคิดว่า คุณหนูเองก็น่าจะจำผมได้เช่นกัน

จำได้ไหมครับ  ผมกลายเป็นเด็กกำพร้าได้ปีเศษๆ ป้าก็ตกลงใจยกผมให้ท่านดาตูท่านพ่อของคุณหนู   สมัยนั้น ดาตูมีหน้าที่ดูแลคนจนและคนไร้ที่พึ่งพิง ดังนั้นป้าก็ทำถูกแล้วที่ให้ผมไปอยู่ในความอนุเคราะห์ของท่านพ่อคุณหนู  นอกจากเหตุผลนั้นแล้ว ก็เป็นเพราะป้าแกเป็นคนจนด้วย  จนขนาดที่ว่า พอยกผมให้ท่านพ่อคุณหนูแล้ว ป้าไม่เพียงได้บรรเทาความค่นแค้นของตนเองเท่านั้น แต่ยังทำให้ผมมีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นด้วย

แต่พอมานึกถึงการที่ต้องพรากจากป้าไปแม้ชั่วขณะ ผมก็แทบทนไม่ได้  ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ ป้าเป็นเสมือนแม่ของผม และจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป

“นะฮะ บาโบ” ผมร้องขอ  “เลี้ยงผมต่อไปอีกสักหน่อยเถอะฮะ ขอให้ผมอยู่กับป้าไปจนโตเถอะนะฮะ แล้วผมจะสร้างบ้านให้ป้า  สักวันผมจะตอบแทนป้าให้ได้  ให้ผมช่วยยังไงก็ได้ฮะ  นะ บาโบ นะฮะ อย่าส่งผมไปอยู่ที่อื่นเลยนะฮะ”  ผมร้องไห้โฮ

         บาโบแตะไหล่ผมเป็นการปลอบประโลม  ช่างเหมือนกับมือแม่จริงๆ  ผมรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย แต่สักครู่ก็เริ่มร้องไห้อีก  สัมผัสของป้าช่างมีอานุภาพเหลือเกิน

        “ฟังป้านะลูก ไม่ต้องร้องไห้  โอ๋… ลูก นิ่งซะ  ลูกเข้าใจใช่ไหม  เรามีชีวิตต่อไปกันอย่างนี้ไม่ได้หรอก” บาโบว่า “อาชีพทอเสื่อของป้าน่ะไม่พอยาไส้ทั้งป้าทั้งหลาน  มันลำบากจริงๆ ลูกเอ๋ย  ลำบากจริงๆ  ลูกต้องไปนะ  แต่ป้าจะไปหาลูกทุกอาทิตย์  ที่บ้านท่านดาตู ลูกอยากจะได้อะไรก็มีหมดทุกอย่าง”

ผมพยายามเพ่งมองบาโบ แม้ตาจะพร่าไปด้วยน้ำตา  แต่ไม่นาน ความคิดที่ว่าอยากได้อะไรก็มีหมดทุกอย่างก็เข้ามามีอำนาจเหนือจิตใจแบบเด็กๆ ของผม  ผมหยุดร้องไห้ได้เพราะเหตุนี้เอง

        “บอกป้าสิลูก ว่าลูกจะไปนะ” บาโบพยายามหว่านล้อม ผมยอมป้าในที่สุด  ตอนนั้นผมอายุเพียง 5 ขวบ จัดว่าชักจูงได้ง่าย

         บาโบอาบน้ำให้ผมตอนบ่ายวันนั้น  ผมไม่ได้สะดุ้งหรือสั่นสะท้าน เพราะน้ำทะเลออกจะอุ่นสบายและสดชื่นดีแท้ๆ ป้าบรรจงทำความสะอาดเล็บมือผมทุกซอกทุกมุม  จากนั้นก็กอบทรายขึ้นมาละเลงทั่วหลังผมแล้วถูเนื้อตัวมอมแมมของผมโดยเฉพาะบริเวณหลังหู สุดท้ายเธอเอาน้ำจืดราดจนผมรู้สึกตัวสะอาดอย่างที่ไม่เคยมาก่อน แต่เสื้อผ้าผมสิเปื่อยแล้วเปื่อยอีก…

        บาโบอบรมผมก่อนที่เราจะเดินทางไปบ้านหลังใหญ่ของคุณหนู เธอบอกว่าผมต้องไม่ลืมจูบเท้าท่านพ่อคุณหนู และจะผละออกมาได้ก็เมื่อท่านสั่งแต่ห้ามหันหลังให้ท่านเด็ดขาด  ผมต้องไม่ไปจ้องท่านตรงๆ  ผมต้องไม่พูดมากเกินไป ต้องพูดโดยใช้บุรุษที่3  และผมต้องไม่ … อะไรกันนี่ บาโบ นั่นมันมากมายเกินจะจดจะจำแล้ว 

        บาโบพยายามอดทนกับผมมาก เธอทดสอบผมครั้งแล้วครั้งเล่าเกี่ยวกับวิธีการเข้าเจ้าเข้านาย  และอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผมต้องพูดว่า “ขอรับ” ที่หมายถึง “ครับ” และ “กระไรขอรับ” ที่หมายถึง “อะไร” หรือพูดเมื่อรับโทรศัพท์ 

        “โธ่ บาโบ  ทำไมผมต้องใช้คำแปลกๆ พวกนั้นด้วยฮะ  แล้วทำไมผมถึงต้อง …” 

        “มาเถอะลูก มาเถอะ” 

        เราออกเดินทางกันบ่ายวันเดียวกันนั้นเอง  ลมที่พัดมาไล้ใบหน้าผมนั้นเย็นทีเดียว เราไม่รู้สึกเหนื่อยเพราะคุยกันไปตลอดทาง  ป้าบอกอะไรผมหลายต่อหลายอย่าง  บอกว่าคุณหนูในบ้านหลังใหญ่นั้นเป็นพวกสูงศักดิ์เลือดสีน้ำเงิน 

        “ไม่แดงเหมือนพวกเราหรือครับบาโบ” 

        บาโบบอกว่าไม่  ไม่แดงเหมือนของพวกเราหรอก 

        “แล้วดาตูมีลูกสาวอายุเท่าๆ ผมใช่ไหมฮะบาโบ” 

        บาโบบอกว่าใช่ ก็หมายถึงคุณหนูนั่นเอง และผมก็อาจได้รับอนุญาตให้เล่นกับลูกสาวท่านดาตูคนนี้ได้ถ้าผมขยันทำงานและประพฤติตัวดี 

        ผมยังถามบาโบด้วยว่าผมขอจิ้มเนื้อคุณหนูดูได้ไหมว่าเลือดของคุณหนูสีน้ำเงินจริงหรือเปล่า แต่บาโบไม่ได้ตอบว่ากระไร  บาโบบอกผมให้เงียบก่อน แต่แล้วสักครู่ผมก็เริ่มพูดไม่หยุดอีก 

        บ้านของคุณหนูจริงๆ หรือนี่  โอ้โฮ ใหญ่อะไรอย่างนั้น  บาโบเอ็ดผม  “อย่างนี้เราไม่เรียกว่าบ้านหรอก” ป้าบอก “เราเรียกว่าอัสตานา ที่อยู่ของท่านดาตู”  ผมก็ได้แต่อ๋อแล้วก็หุบปาก ก็ทำไมบาโบไม่บอกผมก่อนหน้านี้ล่ะ 

        แล้วบาโบก็หยุดกึก  ผมสะอาดหมดจดแน่แล้วรึ  อุ๊ยตาย ดูปากแหว่งของผมสิ  ป้ายกชายผ้านุ่งขึ้นเช็ดน้ำมูกเหนียวสีเขียวจางๆ แทบจะมองไม่เห็นที่ย้อยออกมาจากจมูกลงมาที่ปากแหว่งของผม  เอาละ คราวนี้ค่อยยังชั่วหน่อย  แม้ว่าผมไม่เห็นจะรู้สึกเลยว่ารูปลักษณ์อันผิดปกติของผมมันจะดูดีขึ้นมาตรงไหน ผมเพียงแค่รู้สึกสะอาดขึ้นมาเท่านั้น 

        ผมใช่เด็กคนที่บาโบกำลังพูดถึงรึเปล่า  ดูคุณหนูหัวเราะสิ สาวน้อยเลือดสีน้ำเงิน  สงสัยจะดีใจกระมังที่ใช่ผม หรือว่าหัวเราะที่ผมปากแหว่ง  ผมไม่กล้าถามคุณหนูหรอก กลัวว่าถ้าเผื่อคุณหนูเกิดไม่ชอบหน้าผมขึ้นมา คุณหนูก็คงร้ายใส่ผม  ดังนั้น ผมก็เลยหัวเราะตามคุณหนูไปด้วย และคุณหนูก็ดูจะพอใจ 

        บาโบบอกผมให้จูบมือขวาของคุณหนู  ทำไมไม่จูบเท้าล่ะ อ๋อก็คุณหนูยังเด็กอยู่นี่   ให้ผมรอจนคุณหนูโตก่อนก็ได้ 

        แต่คุณหนูชักมือกลับทันที สงสัยเป็นเพราะปากแหว่งของผมคงทำให้คุณหนูจั๊กกระจี้   ถึงกระนั้น ผมยังรู้สึกเคลิบเคลิ้มไปกับความน่ารักของคุณหนูในวูบนั้นเสียจนรู้สึกว่าอยากจะจูบมือคุณหนูทุกวัน   ไม่  ไม่ใช่   ไม่ใช่ความรักหรอก เป็นเพียงความชื่นชอบแบบเด็กๆ    ลองนึกดูสิว่าผมภูมิใจขนาดไหนที่ได้มีโอกาสกระทบไหล่กับคนในพวกเลือดสีน้ำเงิน 

        “ยินดีต้อนรับนะ พ่อหนูลูกกำพร้า”  หมายถึงผมหรือ  หมายถึงจริงๆน่ะหรือ  ผมมองบาโบ  แน่ละ ก็ผมน่ะสิ  เราได้รับการต้อนรับอย่างเมตตา  ดีจังที่ท่านพ่อของคุณหนูใจดี และดีที่คุณหนูหัวเราะผมด้วย 

        ผมก้มลงจูบเท้าของอะปา ท่านพ่อผู้ทรงเกียรติของคุณหนู  ท่านชรามากแล้วและนั่งๆ นอนๆ พักผ่อนตลอดทั้งวัน ท่านไม่ได้รู้สึกจั๊กกระจี้เพราะปากแหว่งของผมแบบที่คุณหนูรู้สึก  ท่านมิได้หัวเราะผม ที่จริงผมบอกได้เลยว่าท่านเมตตาผมด้วยซ้ำ  อัมโบห์ ท่านแม่ที่แสนจะใจดีของคุณหนูก็เหมือนกัน  “นั่งลงเถอะ  นั่งสิ  ไม่ต้องอายหรอก” 

แต่คุณหนูน่ะสิ ยังคงเซ้าซี้ยิงคำถามใส่บาโบไม่ยั้ง  เช่นถามว่า ทำไมผมถึงเป็นอย่างนั้น  เกิดอะไรขึ้นกับผม 

        เพื่อให้คุณหนูพอใจนะ คุณหนูเลือดสีน้ำเงินคนสวยที่ช่างซักช่างถามเหลือเกิน  บาโบต้องอธิบายว่า ก็ … แม่ผมลื่นล้มในเรือวินต้าตอนท้องผมได้หกเดือน  ผลก็คือ ผมปากแหว่ง  “น่าสงสารจริง จาฟาร์” ท่านพ่อของคุณหนูพูดขึ้น  ผมเกือบจะร้องไห้ออกมา แต่พอเห็นว่าคุณหนูกำลังมองผมอยู่  ผมก็อายมากจนต้องกลั้นน้ำตาไว้  ช่วยไม่ได้หรอกที่ผมจะรู้สึกอ่อนไหว  คือ …ผมว่า การที่ผมไม่มีพ่อไม่มีแม่ตั้งแต่อายุเท่านี้มีส่วนมากทีเดียว 

        “เธอคิดว่าเธอจะสบายใจที่จะอยู่กับเราไหม  จะไม่ร้องหาบาโบของเธออีกนะ” 

        “ขอรับ สบายใจขอรับ”   ผมบอก  แต่แล้ว ความคิดที่ว่าผมจะไม่ร้องหา บาโบอีกต่อไปก็ทำให้ผมกระตุกนิดหนึ่ง แต่บาโบก็พยักหน้าให้ความมั่นใจกับผม 

        “ขอรับ  ผมจะไม่ร้องหา…หา…บาโบแล้วขอรับ” 

        แล้วบาโบก็กลับไปก่อนที่การสัมภาษณ์จะสิ้นสุดลง  เธอต้องเดินทางไป 5 ไมล์ก่อนจะตกเย็น  แต่ผมก็ไม่ได้ร้องไห้อย่างที่คุณหนูนึกหรอก  เพราะ…เพราะอะไรผมยังไม่ได้บอกหรือไง … ก็เพราะว่าผมอาย ไม่อยากร้องไห้ต่อหน้าคุณหนูอย่างไรเล่า 

ผมก็มาอยู่บ้านคุณหนูด้วยประการฉะนี้เอง  คุณหนูจำได้ใช่ไหม   บาโบมาหาผมทุกอาทิตย์ตามที่สัญญาไว้ และคุณหนูเอง ทุกคนนั่นแหละ ก็มีเรื่องเล่าให้บาโบฟังสารพัด  อะปากับอัมโบห์ของคุณหนูบอกบาโบว่าผมขยันทำงาน  ของตายอยู่แล้ว   และคุณหนูเอง สาวน้อยเลือดสีน้ำเงินคนสวยช่างพูดก็คอยเป็นลูกคู่  สรรเสริญผมแต่เสริมว่าที่ที่ผมนอนมีกลิ่นฉี่ฉุนไปหมด  ข้อสังเกตข้อนี้ทำให้บาโบตำหนิติเตียนผมเป็นการใหญ่ และให้ผมสัญญาว่าจะไม่ฉี่รดที่นอนอีกเป็นอันขาด 

        ใช่แล้วครับ บาโบมาหาผม มาคอยอบรมสั่งสอนผมทุกอาทิตย์มิได้ขาดเป็นเวลาสองปี จนกระทั่งเธอตายจากผมไปโดยไม่มีลูกหลานแม้สักคน นอกจากหลานชายปากแหว่งคนหนึ่ง 

        จำได้ไหมครับ ผมเป็นคนโปรดของคุณหนูและคุณหนูอยากเล่นกับผมอยู่เรื่อย   อยู่ไปสักพักผมถึงรู้เหตุผลแล้วว่าก็คุณหนูชอบจ้องดูปากของผม  บางที ตอนที่เราไปเดินเล่นที่ทะเล คุณหนูก็จะหยุดและมองผม ผมก็มองคุณหนูบ้างด้วยความสงสัย  แต่แล้วคุณหนูก็กลับหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง  ผมเลยหัวเราะตามโดยที่ไม่รู้ว่ากำลังหัวเราะตัวเองอยู่  แล้วคุณหนูก็จะหยิกผมเจ็บๆ ให้ผมร้อง  อ๋อ คุณหนูคงจะอยากทดลองอะไรบางอย่าง  คุณหนูบอกว่าคุณหนูไม่อาจบอกได้ว่าผมร้องไห้หรือหัวเราะ เพราะปากผมมันรูปร่างเหมือนกันในสายตากระหยิ่มของคุณหนู  และผมไม่ได้อายหน้าแดงแม้ว่าคุณหนูจะบอกว่าผมหน้าแดงก็ตาม   ก็แล้วถ้าแม่ผมไม่ได้ลื่นล้มในเรืองวินต้าคราวนั้นล่ะ 

        คุณหนูก็เป็นอย่างนั้นแหละ และผมอยากจะแก้แค้นคุณหนูในแบบของผม ผมอยากจะหยิกเนื้อคุณหนูดูซิว่าเลือดคุณหนูสีน้ำเงินจริงๆ หรือ   แต่คุณหนูมีอะไรบางอย่างในตัวที่ทำให้ผมต้องเตือนตัวเองว่าเด็กกำพร้าอย่างผม แถมยังรูปลักษณ์ไม่เหมือนคนอื่น แท้จริงแล้วไม่มีสิทธิ์ไปล่วงเกินคุณหนู  ผมก็ได้แต่รู้สึกภูมิใจไปตามประสา  ร้องไห้และหัวเราะไปกับคุณหนู ทำทุกอย่างให้คุณหนูพอใจ เพียงเพื่อให้เลือดสูงศักดิ์ในตัวคุณหนูที่ชอบเย้าแหย่เป็นที่สุดนั้นพอใจ  ใช่แล้ว  ผมก็มีวิธีของผมเช่นกัน 

        จำได้ไหมครับ  เห็นได้ชัดว่าผมเต็มใจทำอะไรต่ออะไรให้คุณหนูทุกอย่าง ผมขึ้นมะพร้าวไปเอามะพร้าวอ่อนๆ ให้คุณหนูก็ได้  แล้วคุณหนูก็จะแปลกใจที่ผมปีนขึ้นต้นมะพร้าวได้อย่างแคล่วคล่องว่องไว แต่ก็กลัวว่าผมจะตกลงมา  แล้วก็ร้องสั่งให้ผมลงมาโดยด่วน “ไม่ลง” คุณหนูจะเอาก้อนหินขว้างใส่ผมถ้าผมไม่ยอมลง  ไม่ลงหรอก ผมยังคงดื้อ ก้อนหินคุณหนูน่ะขว้างขึ้นไปไม่ถึงตัวผมหรอก คุณหนูยังไม่มีแรงขนาดนั้น คุณหนูก็เลยขู่ว่าจะไปฟ้องอะปาคุณหนู “ฟ้องเลย”  ผมชอบอยู่บนยอดไม้จริงๆ  ผมขึ้นไปร้องเพลงอยู่บนนั้น  ตาก็มองลงไปที่คุณหนูข้างล่างนั่น  คุณหนูช่างทำอะไรไม่ได้เอาเสียเลย พอโมโหหนักๆ เข้าก็ถึงกับสาปแช่งผม ขอให้ผมตาย  เออ ตายก็ตายสิ ผมจะไปขึ้นต้นมะพร้าวบนสวรรค์ก็ได้ แล้ววิญญาณของผมก็จะกลับมาส่ง… ส่งมะพร้าวอ่อนๆ จากสรวงสวรรค์ให้คุณหนู แล้วคุณหนูก็ต้องกลับมา  เห็นไหมเล่า ข้ารับใช้ ซึ่งเป็นเด็กกำพร้าธรรมดาๆนี่ก็สามารถสั่งคุณหนูผู้สูงศักดิ์คนสวยผู้เย่อหยิ่งให้ไปนั่นมานี่ได้เหมือนกัน 

        แล้วเราก็ไปเก็บเปลือกหอย ไปหาปลิงทะเล หรือดำน้ำเก็บหอยเม่น  ไม่ก็วิ่งไปตามชายหาดขาวที่มีแดดสะท้อนเจิดจ้า  ผมวิ่งตามหลังคุณหนู แอบชื่นชมเท้าเล็กๆ นุ่มๆ และผมยาวสลวยของคุณหนูที่ปลิวล้อลม พอหยุดวิ่งเราก็หอบฮั่กๆ  หัวเราะกันใหญ่ 

        ได้พักสักครู่ เราก็ออกวิ่งลงทะเลอีก  กระโดดโต้คลื่นที่ซัดกระหน่ำเข้าฝั่ง  ผมถูหลังอันเนียนนุ่มของคุณหนูหลังจากที่เราเล่นน้ำในทะเลจนพอใจแล้ว  ผมเอากะลามะพร้าวสะอาดๆ ตักน้ำจืดเอาไว้ล้างผมให้คุณหนู  ผมของคุณหนูทิ้งตัวสลวยสะท้อนแดดยามบ่าย  มันช่างสวยเหลือเกิน  จากนั้นผมก็จะค่อยๆ ขริบเล็บมือให้คุณหนู  เดี๋ยวๆ คุณหนูก็สะดุ้งเพราะเจ็บ   พอคุณหนูสะดุ้ง ผมก็จะขอให้คุณหนูลงมือตีผมเสียเลยเพื่อคุณหนูจะได้เห็นเสียทีว่าเวลาที่ผมร้องไห้มันต่างจากเวลาผมหัวเราะเช่นไร  และแม้คุณหนูจะทำให้ผมเจ็บ ผมก็ยังรู้สึกว่าเป็นความเจ็บปวดที่แฝงไว้ด้วยความน่ารักของคุณหนูครับ 

        นั่นละ คือวิธีของผม  วิธีเดียวที่ผมจะแสดงให้คุณหนูรู้ว่าผมรู้สึกขอบคุณเพียงใดสำหรับสิ่งที่ได้ลิ้มรส  สำหรับมิตรภาพที่คุณหนูมีให้ สำหรับที่คุ้มหัว และอาหารการกินในอัสตานาหลังใหญ่  ก็อย่างที่ท่านพ่อท่านแม่ของคุณหนูเคยบอกนั่นแหละ ผมจะต้องเป็นข้ารับใช้ที่ดีแน่ๆ  คุณหนูเองก็คิดเช่นเดียวกัน 

        ท่านพ่อท่านแม่คุณหนูส่งคุณหนูไปเข้าโรงเรียนพระโมฮัมเหม็ดเมื่ออายุได้ 7 ขวบ  ผมไม่ได้ถูกส่งไปเรียนกับคุณหนูด้วยหรอก แต่ก็ไม่แตกต่างกันเท่าใด  เพราะไหนๆ ก็ไม่ใช่หน้าที่ผมหรอกหรือที่จะต้องคอยเทินคัมภีร์กุรอ่านเล่มสีแดงไว้บนศีรษะวันละ 4 รอบ และคุณหนูก็ชอบใจ  เพราะมีผมคอยสร้างความบันเทิงให้   มีคนมาคอยหิ้วน้ำให้   สิ่งที่ต้องทำตอนนั้นก็คือ คอยหิ้วน้ำมาให้ทุกครั้งที่คุณหนูเข้าชั้นเรียนพระโมฮัมเหม็ด  “เอ้อ ทำไมล่ะ ขอประทานโทษครับ ปากแหว่งของผมมันพูดตะกุกตะกักไปหน่อย  แต่ผมอยากรู้จริงๆ”   ครูคุณหนู ครูสอนศาสนานั่นแหละครับ เขาจ้องผมราวกับจะสำรวจทุกอณูในตัวผม   โง่!   ผมไม่รู้หรอกหรือว่าคนเราเรียนศาสนาด้วยหัวใจได้ไม่ยากเย็น เช่นเดียวกับสายน้ำอันอ่อนโยนไม่หยุดหย่อน  หัวใจ หัวใจหรอกนะครับ ไม่ใช่สมอง  แต่ผมก็ได้แต่นิ่ง   อีกอย่าง ผมไม่ได้ไปโรงเรียนเพื่อไปถามคำถามกวนโมโห  น่าอายจริงๆ  น่าทุเรศที่ปากแหว่งของผมถามคำถามอะไรเช่นนั้นออกมาได้  ผมตำหนิตัวเองเงียบๆ

        นั่นเป็นบทบาทของผมในฐานะ อิปังอิปัง  ข้ารับใช้ของคุณหนู นานวันเข้า ผมยิ่งรู้สึกมีความอิ่มเอม อิ่มเอมที่ได้เดินอยู่เบื้องหลังคุณหนู  ผมเหมือนสุนัขที่มีแต่ความรักและภักดีต่อนายสาวของมัน  มีความสุขที่ได้ย่างก้าวตามคุณหนูอย่างเงียบๆ  ด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุข  เป็นเพราะคุณหนูผู้อยู่เบื้องหน้าผม  ช่างเป็นแรงดลใจที่ทำให้ผมอยากติดตามอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ไปจนสุดหล้าฟ้าเขียวก็ยังได้ 

        เสียงสวดพระคัมภีร์กุรอ่านที่ฟังดูเนิบนาบน่าเบื่อนั้นดำเนินอยู่ถึงสามปี  ครูคุณหนูบอกว่าคุณหนูไปได้ช้ามากเลย  บางทีครูถึงกับอยากจะเฆี่ยนคุณหนูเสียด้วยซ้ำ ทว่าเขาไม่รู้หรอกหรือว่าคุณหนูเป็นลูกสาวท่านดาตู  ครูนั่นแหละจะต้องโดนเฆี่ยนเสียเอง  แต่การเฆี่ยนข้ารับใช้ที่เป็นเด็กกำพร้าและเอาไม้สองชิ้นมาคีบปากที่แหว่งดูจะทำได้ไม่ขัดต่อกฎใดๆ   ดังนั้น ครูคุณหนูจึงสะดวกใจที่จะหันมาเลือกลงโทษผมแทนคุณหนูเสียเลย    ผมส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดขณะที่โดนเฆี่ยน  แต่ครูคุณหนูกลับหัวเราะ  ไม้สองชิ้นนั้นไม่อาจคีบปากผมเอาไว้ได้  มันคอยจะเลื่อนหลุดอยู่ร่ำไป  นักเรียนทั้งห้องพากันหัวเราะเสียงดังโดยมีคุณหนูนั่นเองเป็นต้นเสียง 

        พอกลับไปที่อัสตานาอันโอ่โถงของคุณหนูนั้น   คุณหนูได้รับการอบรมเรื่องการวางตัวสำหรับเด็กสาว ผมอายุมากกว่าคุณหนูหนึ่งรอบรามาดอน   ผมก็ให้สงสัยอยู่บ่อยๆ ว่าทำไมคุณหนูจึงโตเร็วมากในขณะที่ผมยังคงเป็นคนแคระเสียสติอยู่  อาจเป็นเพราะตอนเด็กๆ ผมได้รับการเลี้ยงดูไม่ดีนักก็เลยทำให้ผมไม่โตเท่าที่ควร  ถึงกระนั้น ผมก็รู้สึกว่าดีแล้วที่โตไม่ทันคุณหนู  เพราะผมสังหรณ์ใจว่า คุณหนูก็คงจะไม่ยอมให้ผมช่วยเหลืออีกในบางเรื่องที่ต้องใกล้ชิด เช่นถูหลังให้คุณหนูเวลาคุณหนูอาบน้ำ หากว่าผมโตเร็วเท่าคุณหนู 

ตอนกลางคืน  ผมอยู่บนเตียงคนเดียว กรุ่นไปด้วยความรู้สึกร้อนรุ่มคล้ายอารมณ์ของหนุ่มวัยฉกรรจ์  ผมลอบใฝ่ฝันถึงคุณหนูอยู่เงียบๆ โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ   โหยหา… เร่าร้อน… ผมเห็นภาพคุณหนู ดายัง-ดายัง ซึ่งบัดนี้เป็นสาวเต็มตัว เอนกายอยู่บนเตียงซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในห้องส่วนตัวของคุณหนู  ปทุมถันชูช่อไหวขึ้นลงเสมือนผืนน้ำยามต้องสายลมอ่อน  พวงแก้มสีแดงเรื่อเบียดอยู่กับหมอนนุ่มเนียน ดวงตาจับจ้องเคลิ้มฝัน ส่งประกายอบอุ่น ค้นหา เปี่ยมไปด้วยความรู้สึก  บั้นท้ายเนื้อหนั่นอวบอูม แขนโค้งอ่อน  เรือนผมดำสลวยพลิ้วไหว 

ดายัง-ดายัง คุณหนูจะให้อภัยเด็กกำพร้าข้ารับใช้ที่พิกลพิการได้ไหมนะหากมันจะเสียสติไปเสียแล้วและยังหมดความเคารพยำเกรงท่านพ่อของคุณหนูอีกด้วย  คุณหนูจะให้อภัยความที่มันไม่รู้จักสิ่งใดควรไม่ควรไหม หากว่ามันเกิดผลุนผลันลุกจากเตียง ผลุบเข้าไปในห้องคุณหนู กระหวัดคุณหนูเข้าไว้ในอ้อมแขนและใช้ปากแหว่งของมันไซ้ไปบนใบหน้าคุณหนู  ผมอยากจะขอสารภาพว่าอย่างน้อยชั่ววูบหนึ่งผมเคยมีความปรารถนา ความหิวโหยและโหยหา…  ไม่  ไม่ล่ะ  ผมไม่ควรพูดออกมา  เราสองคนช่างต่างกันเหลือเกิน  แม้กระทั่งรูปโฉมของคุณหนู  อัสตานาอลังการที่คุณหนูอยู่  เลือดของคุณหนู  แม้พระหัตถ์ของพระอัลลาห์ยังมิอาจถักทอเส้นสายใยของเราให้เป็นความเท่าเทียมกันได้  ผมคงต้องพอใจในอภิสิทธิ์ที่ได้มีโอกาสจ้องมองความสวยน่ารัก 

ไร้คู่แข่งของคุณหนู  ข้ารับใช้ผู้อัปลักษณ์มิบังอาจล่วงข้ามเขตแดนของเขาไปได้ 

แต่สิ่งต่างๆใช่ว่าจะคงเป็นเช่นนั้นเรื่อยไป  ท่านดาตูหนุ่มผู้หนึ่งจากเมืองบอนบอนกลับมาขอแต่งงานกับคุณหนู  ท่านอะปาของคุณหนูต้อนรับดาตูหนุ่มด้วยความปิติโสมนัสเหนือสิ่งอื่นใด  ท่านกล่าวว่าไม่มีสิ่งใดประเสริฐไปกว่าการแต่งงานระหว่างคนสองคนผู้มีเลือดเนื้อเชื้อไขเสมอกันอีกแล้ว  นอกจากนี้ ท่านพ่อของคุณหนูก็ชราแล้วด้วย ท่านไม่มีบุตรสืบทอด  ดังนั้น  ดาตูหนุ่มผู้นี้จึงเหมาะสมแล้วที่วันหนึ่งจะเป็นผู้สานต่อภารกิจทั้งมวลที่ท่านพ่อของคุณหนูแบกรับมาตลอดหลายปี  ทว่าผมย่อมมีความรู้สึกที่ต่างออกไป  ผมต้องการ…  ไม่ ผมไม่อาจเข้าไปยุ่มย่ามในการจัดการแต่งงานครั้งนี้   ก็แล้ว ผมเป็นใครกันเล่า 

ท่านอะปาของคุณหนูบัญชาให้บริวารลงมือต่อเติมอัสตานาออกไปอีกสองปีก  เดิมอัสตานาของคุณหนูก็นับว่ามีขนาดใหญ่อยู่แล้ว  แต่ก็ยังต้องต่อเติมออกไปอีกเนื่องจากจะต้องมีแขกเหรื่อนับร้อยๆ มาเป็นสักขีพยานในงานแต่งงานของคุณหนู 

พวกคนงานทำงานกันเหงื่อท่วมกาย  ทั้งงานตอก ตัด และยกย้ายกันยกใหญ่เมื่อขึ้นเสา อาหารการกินก็ล้นหลาม  มีเสียงคุยจ้อกแจ้กไม่ขาดปาก  เคี้ยวหมากและสูบยาเส้นของพื้นเมืองกันไม่เว้นแต่ละคน  เห็นถ่มบ้วนออกมาเป็นสีแดงให้ทั่วไปหมด   ภายในเวลาเพียงวันเดียว ส่วนที่ต่อเติมออกไปสองปีกก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์ 

และแล้ว วันแต่งงานก็มาถึง  ผู้คนแห่แหนเข้ามาในอัสตานาของคุณหนูตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อมาช่วยในพิธีล้มวัวและแพะอันเป็นพิธีทางศาสนา  และจะได้ใช้เนื้อของมันมาเป็นอาหารเลี้ยงแขกในงานด้วย   พอเริ่มตกเย็น แขกเหรื่อก็ทยอยกันเข้ามาอีก  ผู้ที่ขึ้นชั้นบนไปไม่มีที่พอก็ต้องมาอยู่กันที่ด้านล่าง 

คบไฟตกแต่งในงานทำจากใบมะพร้าวแห้งจุดสว่างไปตลอดทั้งคืน  คนงานชาวพื้นเมืองมีผ้าพันกายเพียงท่อนล่างใช้คบไฟจุดเลี้ยงไฟที่ใช้เตรียมอาหารไว้  บางคนมีหน้าที่ตำข้าวเพื่อใช้ทำขนมเค้ก ผิวสีน้ำตาลเป็นมันย่องด้วยเนื้อตัวชุ่มเหงื่อ 

ด้านนอกอัสตานา บริวารของท่านดาตูหนุ่มเต้นรำกันเป็นวงใหญ่อยู่ในสนาม  สาวๆ ชาวบ้านร่ายรำงดงาม ยักย้ายส่ายสะโพกน่าดูยิ่งนัก ลำแขนโค้งอ่อนบิดไปมางามตา  เท้าของนางรัวไปกับจังหวะเพลงอย่างชำนาญจนมองแทบไม่ทัน 

ผู้ร่ายรำฝ่ายชายค้อมตัวลงต่ำ มือหนึ่งถือหอกไม้  กริช หรือจับเสื้อบารองไว้ อีกมือหนึ่งถือโล่ไม้ วิ่งฝ่าเข้าไปในกลุ่มร่ายรำอีกกลุ่มหนึ่ง  ยั่วยุให้เกิดการปะทะกัน  เสียงดนตรีพื้นเมืองทั้งปี่ กลอง ระนาดไม้ไผ่กะบัง ฆ้องอะกง และฆ้องกุลินตัง ต่างรัวจังหวะเร่งร้อนประกอบกันเป็นเสียงดนตรีที่สนุกสนานอย่างยิ่ง มีการร่ายรำ  ขับเพลงอันรื่นรมย์  เสียงดนตรี เสียงอึงมี่ เสียงหัวเราะ  ดนตรีกึกก้องกังวานไปทั่วบริเวณเฉกเช่นหัวใจที่มีเลือดสูบฉีด เร่าร้อน ร้อนแรง  แต่ในหัวใจของผมนั้นเล่า มีแต่เพียงความเจ็บปวด  ผู้คนโห่ร้อง “ขอให้มีความสุข ดายัง-ดายัง และท่านดาตู มูรามูราน” ทุกครั้งที่ดนตรีเงียบเสียงลง  ผมก็โห่ร้องไปกับเขาด้วยโดยไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองทำอะไร  ผมคงคิดถึงคุณหนูอย่าง… 

แขกเหรื่อเบียดเสียดกันเข้ามาในอัสตานาของคุณหนูขณะที่ได้ฤกษ์ส่งตัวท่านดาตูหนุ่มให้คุณหนู  ความที่ผมตัวเล็ก ผมจึงแทรกตัวเข้าไปได้ใกล้พอที่จะเห็นคุณหนูได้ชัดเจน  คุณหนู ดายัง-ดายัง  ใบหน้ากลมมนตกแต่งไว้อย่างพิถีพิถันด้วยข้าวบด  ผมเกล้าขึ้นเป็นทรงสูงตรงกลางศีรษะ  แต่งด้วยเครื่องประดับสีทองอร่ามตา  ชุดสีดำเป็นมันเข้ารูป มีเสื้อคลุมเนื้อบางเบาสีชมพูจางสวมทับ  ชุดแต่งงานของคุณหนูประดับกระดุมสีทองทำให้งามสะดุดตา  คุณหนูนั่งสงบเสงี่ยมอยู่บนฟูก มีหมอนปักลายพื้นเมืองตั้งซ้อนกันไว้เป็นระเบียบทางด้านหลัง แสงเทียนจับใบหน้างดงามนัก แลดูเสมือนหนึ่งนางสวรรค์ที่พบได้เพียงในฝันก็ไม่ปาน  สีหน้าคุณหนูดูซึมเศร้าไม่สดใส 

ในที่สุด นาทีที่รอคอยก็มาถึง  ท่านปันดิตาซึ่งมีผ้าโพกศีรษะเอื้อนเอ่ยกับท่านดาตูเจ้าบ่าวด้วยเสียงนุ่มราวไหม ขณะส่งตัวท่านให้คุณหนู ในขณะที่สาวๆ พากันขับขานเพลงมาจากด้านหลัง  ท่านปันดิตาจับนิ้วชี้ของท่านดาตูไปแตะบริเวณระหว่างคิ้วของคุณหนู 3 ครั้ง  แต่ละครั้งที่นิ้วจรดลงไป เลือดในหัวใจของผมสูบฉีดแรงขึ้น  ริมฝีปากของผมเริ่มขยับอีกแล้ว 

จำได้ไหมครับ  ดายัง-ดายัง คุณหนูท่าทางจะร้องไห้เสียให้ได้  ก็อย่างที่ผู้คนพูดกัน   อีกไม่นานแล้วคุณหนูจะต้องพรากจากท่านพ่อท่านแม่  สามีของคุณหนูจะพาคุณหนูไปอยู่ที่เมืองบอนบอนและคุณหนูจะมีชีวิตแบบสตรีชนบททั่วไป  แต่พอคุณหนูบังเอิญเหลือบมาเห็นผมเข้าแว่บหนึ่ง  คุณหนูก็ยิ้มออกมาได้ครั้งหนึ่ง  ผมพอจะรู้ว่าเพราะอะไร  เพราะปากแหว่งของผมนั่นแหละทำให้คุณหนูยิ้มออกเช่นเคย  ผมส่งยิ้มให้คุณหนูแล้วก็หุบยิ้มทันที  ผมหุบยิ้มทันทีเพราะไม่อาจทนเห็นคุณหนูนั่งอยู่ใกล้ชิดท่านดาตูหนุ่ม  โดยที่รู้ทั้งรู้ว่าผมคนนี้ คนที่เคยเหน็ดเหนื่อยลำบากลำบนรับใช้ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับสุนัขผู้ภักดี  ไม่ได้ …ไม่ได้ น่าละอายยิ่งนักที่ผมจะมานึกเรื่องนี้  ก็แล้วมันมิใช่หน้าที่ของข้า 

รับใช้ดอกหรือ 

แล้วผมก็หนีออกมาคืนนั้น  แม่โฉมงามผู้สูงศักดิ์  หนีไปไหนรึ  ไปไหนก็ได้   เวลาก็ผ่านมาได้เจ็ดปีแล้ว  ในช่วงเวลานั้นได้บังเกิดสิ่งดีๆ กับผมมากมาย   ผมไม่ใช่คนแคระเสียสติอีกต่อไปแล้ว  ถึงแม้ว่าปากแหว่งของผมยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงก็ตาม 

ผมพอจะเก็บเงินเก็บทองได้บ้างหลังจากทำงานเหน็ดเหนื่อยอยู่หลายปี ผมน่าจะแต่งภรรยาสักสองหรือสามคนก็ได้ แต่ก็ไม่อาจหาผู้ใดที่เสมอเหมือนคุณหนูได้เลย แม่โฉมงามผู้สูงศักดิ์  เหตุนี้ผมจึงยังคงอยู่ตัวคนเดียวเรื่อยมา 

และแล้ว กงล้อแห่งกาลเวลาของพระอัลลาห์ยังคงหมุนไป หมุนไป  จนกระทั่งวันหนึ่ง สามีคุณหนูถูกจับส่งตัวไปที่สถานกักกันซานรามอน เมืองซามบวงกา  ด้วยเหตุที่ท่านคัดค้านรัฐบาลคริสเตียน  ท่านปรารถนาจะจัดตั้งรัฐบาลของท่านเอง  แต่ไปแสดงอำนาจในเรื่องไม่เป็นเรื่อง  คือไม่ยอมชำระภาษีที่ดินโดยอ้างว่าที่ดินเหล่านั้นเป็นมรดกตกทอดของท่านโดยชอบธรรมทุกประการ  ท่านมิเข้าใจว่าเงินจำนวนเพียงเล็กน้อยที่ท่านพึงเสียไปในรูปภาษีนั้นจะใช้ปกป้องตัวท่านเองและคนแวดล้อมของท่านให้พ้นจากบรรดาพวกฉ้อฉลได้ ท่านมิได้เล็งเห็นว่าอันที่จริงแล้วตัวท่านเองก็เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลคริสเตียนนั่นเอง  ดังนั้น เหล่าบริวารของท่านจึงพากันล้มตายเพราะมาต่อสู้ด้วยเหตุอันไม่ควรอย่างยิ่ง  ท่านอะปาของคุณหนูก็เช่นกัน ท่านถูกลากให้มาแปดเปื้อนกับเรื่องนี้และสิ้นไปพร้อมกับคนอื่นๆ ในคราวเดียวกัน  ทรัพย์สมบัติทั้งหลายทั้งมวลถูกยึดหมด  ท่านอัมโบห์ก็ตรอมใจสิ้นไปอีก  สามีของคุณหนูต้องยอมแพ้เพื่อรักษาชีวิตไว้  ที่ดินทั้งหมดของท่านในที่สุดก็ถูกยึดไป  เหลือเพียงส่วนเล็กน้อยพอให้คุณหนูได้อาศัยทำกินเลี้ยงชีพเท่านั้น 

และคุณหนูจำได้ไหม  วันหนึ่ง  ผมไปติดต่อธุรกิจที่เมืองบอนบอน  เห็นคุณหนูอยู่กับลูกๆ  ในที่ดินผืนเล็กนั่น   ในแว่บแรก ผมไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นคุณหนู  แต่แล้วเมื่อคุณหนูมองมา จ้องผมอยู่เนิ่นนาน  สักครู่แววตาที่คุ้นเคยของสตรีสูงศักดิ์ทำให้ข้ารับใช้ในอดีตถึงกับตะลึงงัน  คุณหนูเองก็ไม่เชื่อสายตาตนเองเช่นกัน  แว่บแรกคงจะจำผมไม่ได้ แต่เมื่อเห็นปากแหว่งของผมยิ้มให้ คุณหนูก็ค่อยๆ แสดงออกมาว่าจำผมได้  ซึ่งผมดีใจเป็นอย่างยิ่ง 

“โอะ จาฟาร์” คุณหนูรำพึงออกมา พลั่วจานับร่วงลงจากมือ  คุณหนูบอกว่าคุณหนูคิดว่าผมตายไปแล้ว  ให้ตายเถอะ ให้ตาย คุณหนูก็ยังคงมีวิธีพูดอย่างใจคิดเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน ราวกับว่าคุณหนูยังสามารถมีอารมณ์ขันได้ในขณะที่ความโศกเศร้ากำลังจะมาฉกฉวยเศษเสี้ยวสุดท้ายแห่งความน่ารักในตัวคุณหนูไปอยู่รอมร่อ  คุณหนูยังสามารถซ่อนความเจ็บปวดและความเศร้าสลดได้ด้วยการต่อปากต่อคำและเสียงหัวเราะ และผมเองก็ยังดีใจที่เป็นเช่นนั้น 

คือว่า ผมตั้งท่าจะบอกคุณหนูว่าจาฟาร์ที่คุณหนูเห็นคนนี้  เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นมาก ไม่เหมือนจาฟาร์คนเดิมแล้ว มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ  แต่แล้ว ผมกลับพึมพำออกไปว่า “โธ่  ดายัง-ดายัง” ผมเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูกที่มาเห็นคุณหนูต้องมาทำงานหนัก  คุณหนูถูกเลี้ยงมาอย่างสุขสบายหรูหรา  ถึงกระนั้น ผมก็พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่แสดงให้เห็นว่าผมเข้าอกเข้าใจสถานการณ์อันย่ำแย่ของคุณหนู 

ลูกชายคนหนึ่งของคุณหนูวิ่งมาแล้วถามว่าผมเป็นใคร  เอ่อ… ผมเป็น …ผมเป็น…”ข้ารับใช้เก่าครับ” ผมตอบออกมา  ลูกชายคุณหนูร้องอ๋อแล้วก็เงียบไป  กลับไปทำงานที่ค้างไว้ต่อ  ทำงาน ทำงาน ทำงานนะลูก  มัดฟืนรวมกันแล้วเอาไปไว้ในครัว  ไม่ต้องสนใจข้ารับใช้เก่าคนนี้หรอก เขาไม่กลับมาเป็นเด็กอีกแล้วละ  ดาตูตัวน้อยผู้น่าสงสาร ต้องมาทำงานหนักขนาดนี้  โฉมงามผู้สูงศักดิ์ก็เช่นกัน 

เราต่างเงียบงันกันไปครู่ใหญ่ แล้วบทสนทนาก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง ว่าแต่ว่า ตอนนี้ผมอยู่ที่ไหนรึ อยู่คานากี  วันนี้มาทำธุระที่บอนบอนหรือ  มาพบปังลิมา ฮัสซินเรื่องที่เขาจะขายวัวน่ะครับ ดายัง-ดายัง   ผมเป็นคนร่วมท้องที่กันแล้วรึ ก็…ถ้าคุณหนูโฉมงามผู้สูงศักดิ์ยังมาใช้ชีวิตแบบสาวชาวบ้านได้ ทำไมข้ารับใช้เก่าแก่ของคุณหนูจะอยู่แบบเดียวกันนั้นไม่ได้   คือว่า โชคไม่เข้าข้างผมในเรื่องล่องทะเล ผมก็เลยต้องมาเสี่ยงดวงเรื่องซื้อขายปศุสัตว์   งั้นหรือ คุณหนูว่า แล้วก็หัวเราะ ผมหัวเราะไปกับคุณหนู เสียงหัวเราะของผมแกนๆ ไปอย่างนั้นเอง หรือว่าเสียงหัวเราะของคุณหนูกันแน่  ช่างเถอะ คุณหนูถามว่าเป็นอะไรไปหรือ  ก็… ไม่มีอะไร จริงๆนะ ไม่มีอะไรนักหนาหรอก  แต่เห็นไหมล่ะ… คุณหนูดูจะเข้าใจขณะที่ผมยืนพิงต้นมะม่วงอยู่เบื้องหน้า ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นนอกจากจ้องและจ้องคุณหนูอยู่นั่นเอง 

ผมสังเกตเห็นว่าสภาพปัจจุบัน คุณหนูเหลือเพียงเศษเสี้ยวให้เราหวนระลึกถึงสตรีสูงศักดิ์แห่งอัสตานาอันอลังการ  ความเบิกบาน ความน่ารัก และความแข็งแกร่งที่เคยมีในตัวคุณหนูดูจะเหือดหายไปจากการที่คุณหนูมาทุ่มเทลงแรงไปกับผืนดินที่อาศัยทำกินอยู่จนหมดสิ้น   แน่ละ ผมมิได้คาดหวังว่าจะเห็นคุณหนูสดใสดังแต่ก่อน แต่ก็น่าจะยังเหลือเค้าอดีตอยู่บ้างพอควร  ไม่ใช่สายตาหม่นหมอง ขอบตาดำคล้ำ ผมแห้งกร้านไม่มีชีวิตชีวา ไม่ใช่ผิวกรำแดด มือเหี่ยวแห้งหยาบกร้าน  ไม่ใช่… 

คุณหนูดูจะเข้าใจอะไรต่ออะไรมากขึ้น ทำไมผมจึงมองคุณหนูเช่นนั้น  เพราะผมไม่ได้พบคุณหนูเป็นเวลานานมาแล้วฉะนั้นหรือ  หรือเป็นเพราะเหตุอื่น  โธ่ ดายัง-ดายัง   ก็มิใช่ความพลิกผันครั้งนี้หรอกหรือที่ทำให้ข้ารับใช้เก่าแก่คนนี้เป็นกังวล  คุณหนูละสายตาไปจากผม  คว้าพลั่วจานับไปพรวนดิน   ดูเหมือนว่าคุณหนูคงจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้หากต้องเอื้อนเอ่ยอะไรออกมาอีกสักคำ  คุณหนูหันหลังให้ผมเพราะไม่ต้องการจะให้ผมเห็นน้ำตา 

ผมพยายามจะใคร่ครวญว่าเพราะเหตุใด   การที่คุณหนูพบผมในวันนี้ก็คงจะรื้อฟื้นความทรงจำเก่าๆ ขึ้นมา  พบกัน พูดคุยกัน ล้อเล่นกัน เหมือนการพบกันพูดคุยกันและล้อเล่นกันในวันวานที่อัสตานาอันเปี่ยมไปด้วยความรื่นเริงมีชีวิตชีวา   แล้วคุณหนูก็สะอื้นร่ำไห้ขณะที่ผมกำลังใคร่ครวญหาสาเหตุอยู่ ผมรู้ว่าคุณหนูร้องไห้เพราะผมสังเกตเห็นว่าไหล่สะท้านขึ้นลง  แต่ผมก็ทำเสมือนว่าไม่รู้ไม่เห็นว่าคุณหนูกำลังสะกดกลั้นแรงสะอื้นอยู่  ผมเกลียดตัวเองมากที่มาหาคุณหนูแล้วมาทำให้คุณหนูร้องไห้… 

“ผมกลับก่อนนะครับ ดายัง-ดายัง”  ผมเอ่ยขึ้นเบาๆ ในขณะที่พยายามกลั้นน้ำตาไว้สุดความสามารถเช่นกัน  คุณหนูไม่ได้ตอบอะไร ไม่ได้ออกปากอนุญาต หรือทัดทาน   แต่การพยักหน้าก็พอแล้วที่จะทำให้ผมเข้าใจและจากไปเสีย   ไปไหนเล่า มีที่ใดให้ไปหรือ  แน่ล่ะ มีที่ให้ไปตั้งมากมาย แต่มีไม่หลายที่นักหรอกที่คนเราจะอยากกลับไปอีกครั้ง 

แต่แล้วก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ผมถึงกับต้องหยุดระหว่างที่เดินไปได้ราวหนึ่งไมล์เห็นจะได้   มีแรงกระตุ้นบางอย่างที่ทำให้ผมต้องย้อนกลับไปหาคุณหนู และทำให้ผมลืมเรื่องปศุสัตว์ของปังลิมา ฮัสซินไปเสียสิ้น สัญชาตญาณทุกอย่างบอกผมว่า   ผมควรต้องกลับไปหาคุณหนูและทำอะไรสักอย่าง   อาจจะขอร้องให้คุณหนูหวนคิดถึงปากแหว่งๆ ของจาฟาร์คนเก่าคนแก่ของคุณหนู  เพียงเพื่อให้คุณหนูมีรอยยิ้มและมีความสุขอีกครั้ง  ผมอยากจะรีบกลับไป ใช้ผ้าโพกผมเช็ดน้ำตาให้คุณหนู  ผมอยากเอาน้ำสะอาดๆมาล้างผมอันแห้งยุ่งเหยิงของคุณหนูให้กลับมาอ่อนนุ่มเป็นเงาพลิ้วสลวยได้ดังแต่ก่อน  ผมอยากจะขริบเล็บให้คุณหนู ลูบไล้มืออันหยาบกร้านของคุณหนู  ผมกระหายใคร่จะบอกคุณหนูว่าที่ดินและปศุสัตว์ทั้งหมดที่ผมมีอยู่ตอนนี้ล้วนเป็นของคุณหนูด้วย  และเหนือสิ่งอื่นใด ผมอยากจะรีบกลับไปหาคุณหนูเพื่อไปขอให้คุณหนูและลูกๆ มาอยู่เสียด้วยกันกับผม  แม้ว่าบ้านช่องที่ผมอยู่จะไม่หรูหรา  ไม่ใหญ่โตเหมือนอัสตานาของคุณหนูที่ปาติกุล  แต่อย่างน้อยมันก็น่าจะเป็นบ้านพัก    ชั่วคราวที่มีความสุขในระหว่างที่คุณหนูรอให้สามีถูกปล่อยตัวกลับมาได้ 

ความปรารถนาที่จะรุดกลับไปหาคุณหนูนั้นแรงกล้า  แต่ผมก็ไม่ได้กลับไป เนื่องจากมีพลังบางอย่างทำให้ผมรู้สึกผิด  ผมไม่ได้มีเลือดสูงศักดิ์  จะมีก็เพียงปากอันเว้าแหว่ง  แม้หัตถ์พระอัลลาห์ก็ไม่อาจถักทอเส้นสายใยแห่งเราให้เท่าเทียมกันได้   แม้กระทั่งวันนี้

Ibrahim A. Jubaira

blue_blood