เมื่อผู้หญิงเป็นผู้นำ: Perempoean Kromo ในขบวนการแดง

Rianne Subijanto

Indonesian Communist women ca. 1920s exhibited in Marx-Engels-Forum, Berlin, Germany (courtesy of author)

ในช่วงปลายฤดูร้อนปี 2019 ระหว่างเดินทางไปประชุม ข้าพเจ้าแวะเยือนสวนสาธารณะ Marx-Engels-Forum ซึ่งตั้งอยู่ในเขต Mitte หรือเขตใจกลางกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี  เมื่อมาถึงสวนสาธารณะที่เต็มไปด้วยต้นไม้บนฝั่งแม่น้ำสปรี กลับไม่ใช่รูปปั้นมาร์กซ์และเองเกลส์จากฝีมือการปั้นของลุดวิก เองเกลฮาร์ดท์ที่ดึงดูดความสนใจของข้าพเจ้า แต่กลายเป็นการค้นพบภาพของผู้หญิงอินโดนีเซียที่สลักไว้บนผนังเหล็กล้อมรอบรูปปั้นมาร์กซ์และเองเกลส์ต่างหากที่ทำให้ข้าพเจ้าตื่นเต้น  กำแพงโดยรอบนั้นมีภาพหล่อนูนแสดงฉากทัศน์ต่างๆ จากขบวนการคอมมิวนิสต์ทั่วโลก  มีจำนวนมากที่เป็นภาพของผู้หญิง  ภาพของอินโดนีเซียเป็นภาพของผู้หญิง 10 คนในชุด เกอบายา ตามจารีตชวาดั้งเดิม รวมทั้งทรงผมแบบ konde (ผมมวย)  สามคนอยู่ในท่านั่งพร้อมป้ายตรงกลางที่เป็นรูปค้อนกับเคียวและตัวอักษรย่อ “P.K.I.” (Partai Komunis Indonesia หรือพรรคคอมมิวนิสต์แห่งอินโดนีเซีย) และ “S.R.” (Sarekat Ra’jat หรือ สหภาพของประชาชน)  ป้ายนี้บ่งบอกให้รู้ว่า รูปนี้คือเหตุการณ์ในช่วงรุ่งเรืองของ pergerakan merah (ขบวนการแดง) ซึ่งเป็นแกนนำในการระดมมวลชนต่อต้านระบอบอาณานิคมที่ได้รับความนิยมและก้าวหน้าอย่างถอนรากถอนโคนขบวนการแรกในอินโดนีเซียสมัยยุคอาณานิคมเมื่อช่วงทศวรรษ 1920  อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างตรงกันข้ามระหว่างประวัติศาสตร์นิพนธ์ของยุคสมัยนั้นกับภาพหล่อเหล็กนูนช่างน่าใจหาย  กล่าวคือ ถึงแม้อนุสรณ์สถานแห่งนี้ ซึ่งก่อสร้างในปี 1986 จะตั้งใจเลือกผู้หญิงเป็นตัวแทนของขบวนการแดง แต่ที่น่าพิศวงอย่างยิ่งก็คือ ประวัติศาสตร์นิพนธ์ของขบวนการแดงกลับไม่มีผู้หญิงอยู่ในนั้นเลย

Communication against Capital explores the revolutionary communication strategies of the pergerakan merah, the anticolonial “red movement” in 1920s Indonesia.

หนังสือเล่มล่าสุดของข้าพเจ้า Communication against Capital: Red Enlightenment at the Dawn of Indonesia[1] มุ่งพิจารณาปัญหาข้อนี้  หนังสือเล่มนี้ตั้งคำถามว่า ถ้าขบวนการก้าวหน้าได้รับความนิยมอย่างมาก เหตุใดประวัติศาสตร์นิพนธ์เท่าที่มีอยู่เกี่ยวกับห้วงเวลานั้นถึงเอาแต่เล่าเรื่องราวผ่านแว่นของผู้นำชายเพียงฝ่ายเดียว (อาทิ McVey, 1965; Shiraishi, 1990)  อะไรคือบทบาทของสามัญชนคนธรรมดาในขบวนการ ที่ได้รับความนิยม นี้?  หนังสือเล่มนี้มีเป้าหมายที่จะฟื้นฝอยหาบทบาทการมีส่วนร่วมของสามัญชนในขบวนการ รวมทั้งแสดงให้เห็นกระบวนการที่การมีส่วนร่วมนี้เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันและชีวิตธรรมดาสามัญของประชาชน และเมื่อเวลาผ่านไป มันก็ยิ่งแพร่หลายออกไปนอกเกาะชวา แพร่หลายไปทั่วหมู่เกาะอินเดียตะวันออกและข้ามโพ้นทะเล  หนังสือเล่มนี้เผยให้เห็นว่าขบวนการแดงเป็นแกนนำต่อต้านการปกครองระบอบอาณานิคมของดัทช์ โดยอาศัยการยกระดับปฏิบัติการหมู่คณะที่ไม่ใช้ความรุนแรง ซึ่งรองรับด้วยการใช้ภาคปฏิบัติและเทคโนโลยีด้านการสื่อสารที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่  ผู้หญิงสิบคนในรูปบนกำแพง Marx-Engels-Forum คือตัวแทนเพียงหยิบมือเมื่อเปรียบเทียบกับผู้หญิงอีกหลายร้อยหรือกระทั่งหลายพันหลายหมื่นคนที่มีส่วนร่วมในขบวนการนี้

ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า บทบาทการมีส่วนร่วมของผู้หญิงในขบวนการแดงไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อสร้างขบวนการของสตรีในความหมายแคบ  กล่าวอีกนัยหนึ่ง ผู้หญิงนักคอมมิวนิสต์ไม่ได้ระดมมวลชนในขบวนการเพียงเพื่อเป้าหมายของตัวเอง  บทความชิ้นนี้ขยายความมาจากแนวคิดแก่นกลางของหนังสือ Communication against Capital โดยพยายามเน้นย้ำข้อเท็จจริงว่า ในขบวนการแดง ผู้หญิงไม่ได้เคลื่อนไหวระดมมวลชนเพียงเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มผู้หญิงเท่านั้น  แต่บทบาทของพวกเธอซึ่งโดดเด่นทั่วทั้งขบวนการ ครอบคลุมถึงประเด็นต่างๆ ที่ดูเหมือนไม่ใช่ประเด็นผู้หญิงด้วย  นี่คือเรื่องที่ข้าพเจ้าต้องการถกเถียงเกี่ยวกับคุณูปการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผู้หญิงนักคอมมิวนิสต์ ไม่เพียงเฉพาะในประวัติศาสตร์ของขบวนการแดง แต่รวมถึงประวัติศาสตร์ของขบวนการสตรีโดยรวม  อะไรเกิดขึ้นเมื่อผู้หญิงเคลื่อนไหวระดมมวลชนในขบวนการหนึ่งๆ ซึ่งพัวพันกับผลประโยชน์ที่มากกว่าประเด็นของสตรีเพียงอย่างเดียว?

ก่อนที่เราจะตอบคำถามนั้น เรื่องสำคัญคือต้องเข้าใจลักษณะของการที่ผู้หญิงเข้าไปมีบทบาทพัวพันในขบวนการ  เราลองทำความเข้าใจเรื่องนี้จากถ้อยคำของ woro (Ms.) Djoeinah บรรณาธิการหญิงคนแรกของหนังสือพิมพ์ Sinar Hindia   ในบทความของเธอชื่อ “Beladjar Ta’ Mengasingkan Diri!” (จงเรียนรู้ที่จะไม่แปลกแยกตัวเอง!) ซึ่งตีพิมพ์ใน Sinar Hindia  เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 1921 woro Djoeinah มองว่าการเขียนบทความเป็นการมีส่วนร่วมทางการเมืองรูปแบบหนึ่ง  ตามถ้อยคำของเธอนั้น  “Dengan hati merasa ta’ tetap, kami akan mengoeraikan kata-kata di dalam halaman S.H. itoe, toeroet berlomba-lomba dilapangan politiek” (ด้วยหัวใจว้าวุ่น เราแสดงออกเป็นถ้อยคำบนหน้ากระดาษของ S.H. [Sinar Hindia] เพื่อต่อสู้ในสนามการเมือง)  วลีที่ว่า “lapangan politiek” (สนามการเมือง) คือกุญแจสำคัญ  ผู้เขียนที่ไม่ได้ระบุนามอีกคนหนึ่งใช้วลีที่แตกต่างออกไปว่า “medan politiek” โดยมีความหมายอย่างเดียวกัน (D.T., 1921)  สำหรับ woro Djoeinah และคนอื่นที่เกี่ยวข้อง ขบวนการแดงคือสนามการเมือง และดังนั้นการเข้าไปพัวพันของใครก็ตามจึงเป็นการกระทำที่เป็นการเมือง  ขบวนการแดงสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้แก่ปัจเจกบุคคล kromo (สามัญชน) ทั้งหลายในการเคลื่อนไหวที่มีความสมานฉันท์ทั้งในระดับหมู่เกาะและระดับโลกเพื่อต่อต้านระบอบอาณานิคมและระบบทุนนิยม โดยรณรงค์ส่งเสริมสิทธิมนุษยชน ความยุติธรรมและเสรีภาพ  ดังนั้น สิ่งที่เป็นเนื้อในของความเข้าใจในความเป็นการเมืองในที่นี้ จึงหมายถึงการต่อสู้เพื่ออำนาจทางวัตถุ เพื่อให้ชนชั้น kromo เป็นเจ้าของและควบคุมปัจจัยการผลิตและการดำรงชีวิต อันจะเอื้อให้พวกเขาสามารถดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งพวกเขาไม่สามารถทำได้ภายใต้ระบบศักดินาในชวาและในระบอบอาณานิคมของดัทช์

PKI meeting in Batavia (now Jakarta), 1925

เราต้องอธิบายให้ชัดเจนว่า kromo คืออัตลักษณ์รวมหมู่ที่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประชาชนในขบวนการ   kromo หมายถึงสามัญชนชนชั้นล่างที่ไม่มีตำแหน่งหรือสถานะ  พวกเขาส่วนใหญ่ไม่รู้หนังสือ และประกอบด้วยประชาชนชนชั้นล่างจากหลากหลายภูมิหลัง มีทั้งชาวนา แรงงาน กะลาสี แรงงานท่าเรือ คนจนเมือง แม่และแม่บ้าน  แน่นอนว่าเมื่อคำว่า “perempoean” (ผู้หญิง) เริ่มใช้เรียกกลุ่มย่อยกลุ่มหนึ่งของ kromo  ชื่อเรียกที่ตั้งขึ้นมาใหม่ว่า “perempoean kromo” ก็แพร่หลายอย่างรวดเร็วและกลายเป็นอัตลักษณ์แสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของผู้หญิงในขบวนการแดง

“ความเป็นการเมือง” แปลออกมาเป็นการประสานทฤษฎีเข้ากับการปฏิบัติ (praxes) ในลักษณะไหน?  ข้อค้นพบสำคัญประการหนึ่งในหนังสือ Communication against Capital ก็คือ ขบวนการแดงเป็นการต่อสู้กับระบอบอาณานิคมในอินโดนีเซียยุคอาณานิคมขบวนการแรกที่ไม่ใช้วิธีการทำสงครามดังเช่นขบวนการต่อสู้ที่ผ่านมา  แต่ใช้วิธีผลิตสื่อที่มีเนื้อหาปฏิวัติ  เมื่อผู้หญิงเริ่มเคลื่อนไหวระดมมวลชนในขบวนการ โดยเฉพาะหลังจากการก่อตั้งสาขาของผู้หญิงที่มีชื่อเรียกว่า “Sarekat Islam Perempoean” (สหภาพอิสลามของผู้หญิง) ภายใต้ “Sarekat Islam” (สหภาพอิสลาม) เมื่อปี 1918  สาขานี้ดึงดูดผู้คนจำนวนมากมาเข้าร่วมและจัดการประชุม openbare vergaderingen (การประชุมสาธารณะ)  การมีส่วนร่วมของผู้หญิงยิ่งขยายตัวมากกว่าเดิม โดยเฉพาะหลังจากผู้นำ (ชาย) ส่วนใหญ่ถูกจับกุมและถูกเนรเทศไปอยู่ตามเกาะห่างไกลหรือหนีไปต่างประเทศภายหลังการนัดหยุดงานประท้วงในเดือนพฤษภาคม 1923 ซึ่งแกนนำการประท้วงคือสหภาพแรงงานการรถไฟ VSTP  ระหว่างปี 1923-1925 ผู้หญิงเป็นนักระดมมวลชนระดับแถวหน้า ช่วยให้ขบวนการขยายตัว ทำให้ขบวนการได้รับความนิยม และกระทั่งทำให้ขบวนการมีแนวคิดก้าวหน้าอย่างถึงรากถึงโคนมากขึ้น เป็นผู้นำการประชุมในหลายเมือง ทั้งตามบ้านเรือน สำนักงาน โรงเรียน และโรงภาพยนตร์ ทั่วทั้งเกาะชวา และขยายออกไปจนถึงเกาะสุมาตราและหมู่เกาะโมลุกกะ  ผู้หญิงเหล่านี้เป็นประธานและปราศรัยในการรณรงค์และการประชุม รวมทั้งพูดปลุกใจเกี่ยวกับการสร้างพรรค ยุทธศาสตร์การระดมมวลชน และแนวคิดคอมมิวนิสต์  พวกเธอยังช่วยกันจัดการชุมนุมประท้วงนัดหยุดงานในตลาดพื้นบ้าน (pasar) อาศัยอำนาจของตนในการควบคุมการกระจายสินค้าและอาหาร  พวกเธอรู้ดีว่า ถ้าคนขาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงสามัญชน (kromo) หยุดขายสินค้า ชนชั้นบนก็ไม่สามารถเข้าถึงของบริโภคอุปโภคได้เหมือนกัน  เมื่อผู้นำคนไหนถูกจับหลังจาก VSTP นัดหยุดงานประท้วง กลุ่มผู้หญิงก็จัดการรับบริจาคเพื่อสร้างหลักประกันให้ครอบครัวของผู้นำอยู่รอดต่อไปได้  ในรายงานข่าว vergaderingen ในหนังสือพิมพ์ Sinar Hindia  การระดมเงินบริจาคมักเกิดขึ้นหลังจากการประชุมสาธารณะ ผู้หญิงจะช่วยกันบริจาคเงิน อาหาร และแม้กระทั่งเครื่องประดับ เพื่อสนับสนุนสหายของตน  ผู้หญิงจัดการประชุมสาธารณะเช่นนี้ในสถานที่หลายแห่ง  แต่สถานที่ที่ถือว่ามีลักษณะเฉพาะตัวที่สุดก็คือ โรงครัวสาธารณะ  โรงครัวเอื้อให้ผู้หญิงจำนวนมากเข้ามามีส่วนร่วมในการพูดคุยทางการเมืองและมีการถกเถียงกันระหว่างเตรียมอาหารให้ครอบครัวของตน

นอกเหนือจากการประชุม การรณรงค์ และการนัดหยุดงานประท้วง ปฏิบัติการประสานทฤษฎีเข้ากับการปฏิบัติของนักคอมมิวนิสต์หญิงยังรวมถึงการเขียน การอ่าน และการให้การศึกษา  ผู้หญิงหลายคน อาทิ woro Djoeinah มีผลงานการเขียนลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ที่มีแนวคิดปฏิวัติอย่าง Sinar Hindia  เช่นเดียวกับหัวข้อต่างๆ ที่ถกเถียงอภิปรายกันในการประชุมสาธารณะ หัวข้อการเขียนของพวกเธอก็หลากหลายและไม่ได้อภิปรายแค่ประเด็นของผู้หญิงเท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงระบอบอาณานิคม กลุ่มปฏิกิริยาต่อต้านคอมมิวนิสต์ และยุทธศาสตร์การปฏิวัติ  ในทำนองเดียวกัน หลายประเด็นที่มักถูกมองว่าเป็น “ประเด็นของผู้หญิง” เช่น การหย่า การมีคู่ครองหลายคน อนามัยของการเจริญพันธุ์ การเลี้ยงดูบุตร และการแต่งงาน ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผู้หญิงอภิปรายเพียงฝ่ายเดียว  ผู้ชายเองก็อภิปรายถกเถียงถึงหัวข้อเหล่านี้ด้วยเช่นกัน  ยกตัวอย่างเช่น  ในปี 1921 Darsono  สมาชิกโปลิตบูโรของพรรคคอมมิวนิสต์ก็เคยเผยแพร่บทความสามตอนในชื่อ “Kaoem Perempoean” (ผู้หญิง) ในบรรดาหัวข้อหลายประการที่บทความชุดนี้กล่าวถึง มีการพูดถึงความแตกต่างระหว่างผู้หญิง prijaji (ชนชั้นบน) กับผู้หญิง kromo (สามัญชน)  และตำแหน่งแห่งที่ของผู้หญิงกลุ่มหลังในขบวนการแดง รวมทั้งแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อผู้หญิง kromo ในขบวนการ  ผู้หญิงได้ทำหน้าที่เคียงข้างผู้ชายในการพัฒนาและการสอนในโรงเรียนคอมมิวนิสต์ Sekolah Ra’jat (โรงเรียนของประชาชน) ซึ่งรองรับเด็ก kromo จำนวนมากจนกระทั่งโรงเรียนถูกสั่งห้ามภายหลังการก่อการปฏิวัติในปี  1926-1927  หลังจากการเนรเทศตัน มะละกา (Tan Malaka, 1897-1947) ผู้ก่อตั้งโรงเรียน Sekolah Ra’jat ในปี 1922 โรงเรียนคอมมิวนิสต์แบบนี้ก็ผุดเป็นดอกเห็ดขึ้นมาทั่วทั้งเกาะชวา ทั้งในเมือง Bantam, Buitenzorg, Batavia, Preanger, Cheribon, Pekalongan, Semarang, Madioen, Kediri, Bodjonegoro, Soerabaja และ Besoeki  ในเมือง Westkust ของเกาะสุมาตรา โรงเรียนแบบนี้มีชื่อเรียกว่า Thawalib School  ท่ามกลางความแพร่หลายของโรงเรียนคอมมิวนิสต์เหล่านี้ woro Djoeinah ทุ่มเทความพยายามในการสร้างโรงเรียนพิเศษสำหรับผู้หญิง เพื่อให้ผู้หญิงได้สอนกันเองถึงทักษะและความรู้ต่างๆ รวมถึงเรื่องอนามัยของการเจริญพันธุ์

The front page of Sinar Hindia, September 9, 1918. The paper’s its editors Mas Marco Kartodikromo and Semaun were instrumental in the rise of the Communist Party of Indonesia. Wikipedia Commons

มาถึงจุดนี้คงเห็นชัดแล้วว่า สนามการเมืองของ perempoean kromo ในขบวนการแดง ไม่ได้มีจุดศูนย์รวมอยู่แค่เรื่องผลประโยชน์ของผู้หญิง แต่ผู้หญิงให้ความสนใจต่อผลประโยชน์ของคนกลุ่มใหญ่กว่าในขบวนการแดงด้วย  ทั้งในคำปราศรัยและในการเขียน มีความเข้าใจว่าการกดขี่และการขูดรีดผู้หญิงมีรากเหง้าอยู่ในความเกี่ยวร้อยกันของระบอบปิตาธิปไตยกับระบบทุนนิยม  ดังนั้น การเอาชนะระบบทุนนิยมจึงจำเป็นต่อการยุติการกดขี่และการขูดรีดเหล่านี้  ในกรณีนี้ เพศภาวะและเพศสรีระจึงเป็นการแสดงออกทางชนชั้น  เราต้องเข้าใจว่า ชนชั้นในที่นี้ไม่ใช่แค่อาชีพ แต่เป็นอำนาจทางวัตถุมากกว่า  perempoean kromo ไม่มีอำนาจทางวัตถุในการเข้าถึงชีวิตที่มีศักดิ์ศรี  การขายบริการทางเพศคือตัวอย่างที่ตรงประเด็นที่สุด  แต่ยังรวมทั้งการเข้าถึงการศึกษา การดูแลสุขภาพ สิทธิทางการเมือง และความเท่าเทียมในการแต่งงานของผู้หญิงด้วย  นี่ไม่ได้หมายความว่า ผลประโยชน์เชิงเพศภาวะ/เพศสรีระของผู้หญิงมีความสำคัญเป็นรองจากผลประโยชน์ทางชนชั้นของ kromo  แต่หมายความว่า ลักษณะทางชนชั้นของ perempoean kromo มีการแสดงออกผ่านประสบการณ์บางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเพศภาวะ/เพศสรีระ นอกเหนือจากการแสดงออกในเรื่องอื่นๆ

ความเข้าใจที่เชื่อมโยงกันระหว่างชนชั้นกับเพศภาวะ/เพศสรีระนี้ ในทัศนะของข้าพเจ้า คือหนึ่งในคุณูปการสำคัญของ perempoean kromo  ผู้หญิงเหล่านี้ต่อสู้เพื่อขยายความเข้าใจที่มีต่อระบบเศรษฐกิจให้กว้างขึ้นกว่าเดิม  สำหรับพวกเธอ การต่อสู้ของผู้หญิงไม่ใช่แค่สิทธิในการออกเสียงเลือกตั้งและการเข้าถึงการมีตัวแทนทางการเมืองและการปกครองเท่านั้น  แต่ยังรวมถึงการทะนุบำรุงสถาบันที่มักถูกมองว่า “ไม่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ” (ไม่สร้างมูลค่า)  ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว สถาบันเหล่านี้ต่างหากที่มีคุณูปการโดยตรงต่อองค์กรทางสังคมและเศรษฐกิจในสังคม อาทิ โรงเรียน การศึกษา ปริมณฑลสาธารณะ ได้แก่ วรรณกรรมและสื่อ ตลาด การดูแลสุขภาพ ตลอดจนการรวมตัวทางการเมือง เช่น สหภาพ  ผู้หญิงมีคุณูปการต่อขบวนการโดยดึงเอาประเด็นเหล่านี้มาเป็นศูนย์กลาง ไม่ใช่แค่ประเด็นเรื่องการมีตัวแทนของผู้หญิงในขบวนการ ทว่าขยายไปถึงเรื่องยุทธศาสตร์ในการสร้างและรักษาองค์กรทางสังคมและเศรษฐกิจดังกล่าว ซึ่ง “ประเด็นของผู้หญิง” เองก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง  นักคอมมิวนิสต์หญิงในอินโดนีเซียยุคอาณานิคมแสดงออกถึงความเข้าใจนี้มาตั้งแต่ 100 ปีที่แล้ว ซึ่งสอดคล้องกับงานวิชาการเกี่ยวกับการผลิตซ้ำทางสังคม (social reproduction)[2] ที่กำลังเฟื่องฟูในหมู่เฟมินิสต์มาร์กซิสต์ร่วมสมัย อาทิ Tithi Bhattacharya, Susan Ferguson, Nancy Fraser และ Silvia Federici

ขอให้เราย้อนกลับไปสู่คำถามตอนต้นของบทความชิ้นนี้  ผู้หญิงและ “ผลประโยชน์ของผู้หญิง” มีผลกระทบต่อขบวนการแดงอย่างไรบ้าง?  ผลประโยชน์เพื่อชนชั้น kromo โดยรวมของขบวนการทำให้ผลประโยชน์ของผู้หญิงมีความสำคัญรองลงไปหรือเปล่า?  ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง การมีส่วนร่วมทางการเมืองของ perempoean kromo ในขบวนการ ทำให้การปลดปล่อยผู้หญิงกลายเป็นข้อเรียกร้องหลักของขบวนการต่างหาก ทำให้มันกลายเป็นนโยบายหนึ่งที่เป็นแกนสำคัญในการต่อต้านอาณานิคมและต่อต้านทุนนิยม  พื้นที่ของการผลิตซ้ำทางสังคมที่ “ไม่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ” และ “ไม่เป็นทางการ” ซึ่งเป็นเรื่องสามัญประจำวัน กลายเป็นพื้นที่สำคัญในการต่อสู้  การเมืองไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในการประชุมพรรค แต่เกิดขึ้นในพื้นที่ทางวัฒนธรรมด้วย เช่น การแต่งงาน สุขภาพ แฟชั่น การตั้งชื่อลูก และการเลี้ยงดูเด็ก  ในทำนองเดียวกัน เมื่อผู้หญิงใช้การปราศรัยและการเขียนเพื่อเรียกร้องผลประโยชน์ทางชนชั้นของขบวนการ ก็ทำให้ข้อเรียกร้องของ kromo มีความเป็นสากล  ข้อเรียกร้องเหล่านี้ไม่ได้เป็นของผู้ชายหรือแกนนำเท่านั้น แต่กลายเป็นข้อเรียกร้องร่วมกันของขบวนการที่แสดงออกมาอย่างพร้อมเพรียง  เมื่อผู้หญิงยืนหยัดสมานฉันท์กับผู้ชาย พวกเธอไม่เพียงช่วยขยายขบวนการแดงให้ครอบคลุมผู้เข้ามามีส่วนร่วมและประเด็นที่หลากหลายมากขึ้น แต่ยังช่วยให้ขบวนการมีความเปิดกว้างและมีความเป็นสากลมากขึ้นด้วย  จากเรื่องของ perempoean kromo เราได้เรียนรู้ว่า เมื่อผู้หญิงนำ พวกเธอสามารถทำให้กิจวัตรสามัญในชีวิตประจำวันกลายเป็นกระบวนการที่สำคัญอย่างยิ่งในการสร้างขบวนการ รวมทั้งมีศักยภาพในการทำให้ขบวนการมีความเป็นประชาธิปไตยและเสมอภาคมากขึ้น

Rianne Subijanto
Rianne Subijanto is Associate Professor of Communication Studies at Baruch College, The City University of New York. She is the author of Communication against Capital: Red Enlightenment at the Dawn of Indonesia (Cornell UP, 2025).

Notes

[1] https://www.cornellpress.cornell.edu/book/9781501778667/communication-against-capital/#bookTabs=1

[2] คำว่า Social Reproduction ในความหมายที่ใช้กันในหมู่เฟมินิสต์ที่เป็นมาร์กซิสต์นั้น หมายถึง บทบาทของผู้หญิงในโครงสร้างทางสังคมและชนชั้น ซึ่งคุณูปการของผู้หญิงในระบบเศรษฐกิจทุนนิยมมักถูกมองข้ามและไม่เห็นคุณค่า ทั้งที่บทบาทของผู้หญิงในครัวเรือน ทั้งการมีบุตร ดูแลบุตร ดูแลครอบครัว ทำอาหาร รักษาอนามัย ฯลฯ ซึ่งเป็นการทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง แท้จริงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการผลิตซ้ำแรงงานที่จะออกไปทำงานการผลิตในระบบทุนนิยม

References

D.T., 1921. “Terhadap Kaoem Poeteri Terpeladjar” (To the Educated Women). In Sinar Hindia, February 16.
McVey, Ruth Thomas. 1965. The Rise of Indonesian Communism. Ithaca, NY: Cornell University Press.
Shiraishi, Takashi. 1990. An Age in Motion: Popular Radicalism in Java, 1912-1926. Ithaca, NY: Cornell University Press.