ทวงคืนเมือง: ย้อนเวลาพินิจการเมืองท้องถิ่นของฝ่ายซ้ายอินโดนีเซีย

Andi Achdian

PKI meeting in Batavia (now Jakarta), 1925.

“การที่ฝ่ายซ้ายได้เข้ามามีที่นั่งในสภาเทศบาลอาจถือได้ว่าเป็นความสำเร็จประการหนึ่ง  สหาย Dekker, Wiwoho, Malaka (Tan?) และ Soekindar  ทุกคนที่ล้วนยืนอยู่ข้างประชาชน (Ra’jat) สามารถฝ่าฟันเข้ามาเป็นสมาชิกสภาเทศบาลได้  ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เรื่องนี้ย่อมเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ฝ่ายซ้ายภายใน gemeenteraad[i]  มันเป็นพัฒนาการที่สำคัญสำหรับเทศบาลเมืองเซอมารัง เพราะการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ในองค์ประกอบของสมาชิกสภา ในที่สุดอาจช่วยบุกเบิกให้เกิดความใส่ใจต่อสภาพเลวร้ายและระเบียบข้อบังคับไม่เป็นธรรม ซึ่งส่งผลกระทบต่อกัมปง[ii]ต่างๆ ของเมือง  ตลอดเวลาที่ผ่านมา สภา gemeenteraad ของเราแทบไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นพื้นที่ที่เป็นปากเป็นเสียงของประชาชน ตอนนี้เริ่มมีความหวังที่จะกลายเป็นสภาที่ไม่ละเลยเพิกเฉยต่อผลประโยชน์ของชนชั้นล่าง” (Soeara-Ra’jat, 16 October 1921)

เรื่องราวที่เผยแพร่ใน Soeara Ra’jat (จดหมายข่าวรายปักษ์ของพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซีย) เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 1921 เป็นการตอกย้ำถึงชั่วขณะของการพลิกโฉมหน้าที่เงียบเชียบแต่ส่งผลสำคัญต่อชีวิตทางการเมืองท้องถิ่นในสมัยอาณานิคมเมื่อทศวรรษ 1920  ฝ่ายซ้ายอินโดนีเซียนั้นไม่ได้มีแค่การเคลื่อนไหวหวือหวาอย่างการนัดหยุดงานประท้วงและก่อกบฏเป็นระยะๆ ดังที่เรื่องเล่ากระแสหลักมักให้ภาพไว้เช่นนั้น ตรงกันข้าม ฝ่ายซ้ายเข้าไปพัวพันอย่างถึงรากถึงโคนในกิจกรรมสามัญธรรมดาประจำวันของโครงสร้างการบริหารเทศบาลด้วย  ความสำคัญของชั่วขณะข้างต้นไม่ได้อยู่ที่ผลลัพธ์เฉพาะหน้าของการได้เป็นสมาชิกสภาเสียทีเดียว แต่อยู่ที่นัยสำคัญเชิงสัญลักษณ์และเชิงสถาบันมากกว่า  นโยบายหาเสียงเลือกตั้งระดับเทศบาลของฝ่ายซ้ายสะท้อนให้เห็นเค้าโครงของวิสัยทัศน์เกี่ยวกับความเป็นพลเมืองของชาวเมืองที่ก้าวหน้า ซึ่งวางรากฐานอยู่ในการแก้ไขปัญหาเชิงวัตถุของชีวิตประจำวัน โดยมีหลักยึดมั่นในข้อเรียกร้องเกี่ยวกับสิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไป การล้มเลิกโครงสร้างการบริหารที่แฝงไว้ด้วยอคติทางเชื้อชาติ เช่น ระบบ Kapitan (การปกครองโดยอ้อมของระบบอาณานิคมที่กระทำผ่านตัวแทนทางชาติพันธุ์ในชุมชนที่แยกขาดจากกัน) รวมถึงการลงทุนด้านที่อยู่อาศัยและสาธารณสุข

นี่คือการเมืองที่ให้ความสนใจต่อโครงสร้างพื้นฐานของความไม่เท่าเทียมระดับเมือง แต่เป็นการเมืองที่ดำเนินการภายในกลไกที่เป็นทางการของระบอบอาณานิคม ไม่ใช่ต่อต้านแบบเหมารวมทั้งหมด  สิ่งที่ปรากฏให้เห็นจากช่วงตอนนี้จะช่วยให้เกิดความเข้าใจที่ละเอียดอ่อนมากขึ้นต่อการเมืองสมัยใหม่ในอินโดนีเซีย  ในเชิงปฏิบัตินั้น สภาเทศบาลกลายเป็นสนามชิงชัยที่จินตนาการแบบต่างๆ เกี่ยวกับเมืองในยุคอาณานิคมมาแข่งขันกัน  “การเมืองภาคปฏิบัติ” เช่นนี้เอื้อให้ฝ่ายซ้ายมีนโยบายเปิดกว้างมากขึ้นในการผูกพันธมิตรและวางรากฐานสำหรับโครงการทางการเมืองแบบสังคมนิยมในระดับที่ใหญ่กว่าเดิมภายในเมืองอาณานิคมของดัทช์สมัยนั้น  ในที่นี้ ฝ่ายซ้ายไม่ได้เอาแต่ต่อต้านอำนาจจักรวรรดินิยมเพียงอย่างเดียว แต่พยายามเข้าไปยึดครองและปรับเปลี่ยนมันจากภายในด้วย  บทความนี้จะยกตัวอย่างกรณีของสุราบายาในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เพื่อย้อนเวลาไปเยือนประวัติศาสตร์ของฝ่ายซ้ายอินโดนีเซีย โดยเน้นให้เห็นว่าเมืองเป็นรากฐานเชิงวัตถุสำหรับการทำให้ภาคปฏิบัติทางการเมืองที่ก้าวหน้าปรากฏออกมาให้เห็น[1]

At the Bond van Marinepersoneel in Surabaya, sailors gathered, exchanged radical ideas, and supported ISDV—marking the rise of socialist politics in colonial Indonesia.
Source: “De Eerste Marxisten in Indonesië”, De Waarheid, 1989.

ท้าทายระบบบริหารจัดการเมือง (ยุคอาณานิคม)

ในช่วงทศวรรษท้ายๆ ของศตวรรษที่ 19 สุราบายาถูกเปลี่ยนโฉมหน้าจากวงจรของทุนจักรวรรดิและโครงสร้างพื้นฐานของระบอบอาณานิคม  การเปิดใช้คลองสุเอซ (ปี 1869) และนโยบายเสรีนิยมของดัทช์ (Dutch Liberal Policy[iii]) (ปี 1870) กระตุ้นให้เกิดความแปรเปลี่ยนพลิกผัน  เราได้เห็นเมืองวิวัฒนาการจากเมืองหน้าด่านเล็กๆ กลายเป็นเมืองชุมทางคึกคักในระบบเศรษฐกิจโลก  ท่าเรือ ทางรถไฟ และโกดังต่างๆ ปรับเปลี่ยนภูมิประเทศในเชิงกายภาพ ในขณะที่ทุนและผู้อพยพชาวยุโรปทำให้ช่วงชั้นทางสังคมต้องถูกนิยามใหม่  ความเปลี่ยนแปลงเชิงประชากรเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  ประชากรชาวยุโรปทวีปริมาณขึ้นเกินกว่าสองเท่าระหว่างปี 1870-1890  ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่าทุนนิยมอาณานิคมเข้ามากระชับอำนาจในดินแดนนี้มากขึ้น

การเปลี่ยนรูปโฉมนี้ก่อให้เกิดความเติบโตทางเศรษฐกิจ อีกทั้งทำให้เกิดช่วงชั้นทางสังคมใหม่ในเมืองด้วย นั่นคือ orang particulier sadja หรือชาวยุโรปชนชั้นกลางที่ไม่ได้สังกัดระบบราชการอาณานิคม  ชาวยุโรปเหล่านี้ประกอบอาชีพแพทย์ วิศวกร นักหนังสือพิมพ์ และเสมียนในบริษัทเอกชน  พวกเขากลายเป็นผู้พิทักษ์ปริมณฑลสาธารณะ (public sphere) ของพลเมือง ผลักดันข้อเรียกร้องให้เมืองกลายเป็นเมืองสมัยใหม่ โดยมีชีวิตของการรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนสมาคม มีวัฒนธรรมของสื่อสิ่งพิมพ์ และการเมืองแนวปฏิรูป  กระนั้นก็ตาม ชาวยุโรปกลุ่มนี้กลับต้องคับข้องหมองใจจากความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อ ambtenaren หรือระบบราชการของรัฐอาณานิคม ซึ่งพวกเขามองว่าอำนาจหน้าที่ของระบบราชการอาณานิคมนี้เป็นตัวกีดขวางความเจริญก้าวหน้าของเมือง  ผู้เป็นปากเสียงของแนวคิดเสรีนิยมอย่าง Adriaan Paets tot Gonsayen นักกฎหมายผู้ประสบความสำเร็จและเป็นสมาชิกสภาเมืองสุราบายา วิพากษ์วิจารณ์ระบบราชการของหมู่เกาะอินเดียตะวันออกอย่างรุนแรงว่าเป็นกลไกเฉื่อยแฉะ มุ่งแต่จะรักษาพิธีการมากกว่าแก้ไขความบกพร่องของเมือง

สืบเนื่องจากความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์นี้ทำให้เกิดแรงผลักดันเพื่อปฏิรูปเทศบาล  พวกเขามองว่า gemeente หรือหน่วยงานบริหารคล้ายสภานครหรือสภาเมือง และ gemeenteraad องค์กรจากการเลือกตั้งที่บริหารจัดการเทศบาล เป็นสถาบันประชาธิปไตยเสรีนิยมที่สามารถเป็นตัวแทนของพลเมืองได้  กฎหมายกระจายอำนาจหรือ Decentralisatie Wet ในปี 1903 นำเสนอข้อแก้ไขให้บางส่วน และในปี 1906 สภาเทศบาลของสุราบายาก็ได้รับการก่อตั้งอย่างเป็นทางการ  แต่โครงสร้างของมันสะท้อนให้เห็นการประนีประนอมของระบอบอาณานิคมมากกว่าชัยชนะของฝ่ายเสรีนิยม  จากจำนวนที่นั่งในสภา 15 ที่นั่งของชาวยุโรป 8 ที่นั่งยังอยู่ภายใต้การควบคุมของระบบราชการ  6 ที่นั่งเป็นของชนชั้นนำที่ไม่ใช่ชาวยุโรป ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเข้ามา เพื่อสร้างภาพการมีตัวแทนหลากหลายเชื้อชาติโดยไม่มีความเสมอภาคตามระบอบประชาธิปไตย  นี่จึงเป็นการกระจายอำนาจโดยปราศจากการให้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งอย่างเต็มที่  มันจึงเป็นแค่การประนีประนอมที่คำนวณมาแล้วว่าจะธำรงรักษาการครองอำนาจนำของระบอบอาณานิคมต่อไป

กระนั้นก็ตาม สภา gemeenteraad ก็ทำหน้าที่เป็นสนามทดลองให้วิสัยทัศน์ที่แตกต่างกันเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของเมืองได้มาปะทะและผสมผสานกัน  การวิวาทะเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน ระบบสุขอนามัย และการใช้ที่ดิน เผยให้เห็นทั้งความตึงเครียดระหว่างชนชั้น ตลอดจนการอ้างความเป็นเจ้าของเมืองของเชื้อชาติต่างๆ ที่ชิงดีชิงเด่นกัน  ด้วยเหตุนี้ เมืองจึงกลายเป็นสิ่งที่มากกว่าแค่สถานที่กอบโกยทางเศรษฐกิจ แต่เป็นเบ้าหลอมที่หล่อหลอมเค้าโครงความเป็นพลเมืองในระบอบอาณานิคม อำนาจหน้าที่ของรัฐ และความยุติธรรมทางสังคม  ท่ามกลางความปั่นป่วนทางการเมืองของสุราบายา เราได้เห็นการก่อตัวระยะเริ่มแรกของเมืองสมัยใหม่ ซึ่งทั้งได้รับอิทธิพลและต่อต้านโครงสร้างของจักรวรรดิไปพร้อมกัน

การเมืองท้องถิ่นแนวสังคมนิยม

การที่มีตัวแสดงจากแนวคิดสังคมนิยมเข้ามามีบทบาทในการเมืองระดับเทศบาลของหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ สะท้อนถึงการเปลี่ยนแนวทางยุทธศาสตร์ทางการเมืองอย่างตั้งใจเมื่อต้องเผชิญกับข้อจำกัดของระบอบอาณานิคม  แทนที่จะจำกัดตัวเองอยู่แค่การปลุกระดมหรือวาทกรรมว่าด้วยการปฏิวัติ สมาชิกรุ่นแรกของ Indische Sociaal-Democratische Vereeniging (ISDV) ตระหนักว่า สภา gemeenteraad เป็นเวทีเชิงสถาบันที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการต่อสู้เพื่อเมืองสมัยใหม่  บุคคลอย่างเช่น Westerveld ซึ่งมีที่นั่งในสภาเมืองเซอมารัง ได้นำเสนอวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการบริหารจัดการเมืองที่ท้าทายการครองอำนาจนำของทุนและระบบกรรมสิทธิ์ที่ดินแบบเก็งกำไร   Westerveld นำเอาจารีตแนวคิดสังคมนิยมประชาธิปไตยแบบยุโรปมาสนับสนุนให้เทศบาลมีสิทธิ์ในที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย ไม่ใช่เพื่อการเก็งกำไร แต่เพื่อให้เกิดการจัดสรรกรรมสิทธิ์เสียใหม่ ซึ่งเป็นการวางรากฐานแนวคิดที่จะให้รัฐอุดหนุนเงินทุนเพื่อสร้างที่อยู่อาศัยภายในบริบทของระบอบอาณานิคม

ในสุราบายา วิสัยทัศน์นี้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นด้วยแรงผลักดันเชิงสถาบันที่เข้มข้นกว่า  หลังจากการก่อตั้งสภาเทศบาลในปี 1906 L.D.J. Reeser และ Mr. van Ravensteyn พยายามขยายพื้นที่ของการมีส่วนร่วมทางการเมืองให้เปิดกว้างมากกว่าแค่ชนชั้นนำทางการค้าชาวยุโรป  ในฐานะประธานและเลขาธิการของ Verkiezingscomité  พวกเขาริเริ่มความพยายามที่จะเปิดทางให้ผู้หญิง (แม้จะแค่ในเชิงสัญลักษณ์ก็ตาม) และส่งเสริมให้ชาวพื้นเมือง ชาวจีน และชาวอาหรับ เข้ามามีส่วนร่วมในการสื่อสารหารือระหว่างพลเมืองด้วยกัน  ถึงแม้สุดท้ายพวกเขาจะไม่ประสบความสำเร็จในการแข่งขันรับเลือกตั้งครั้งแรกๆ โดยพ่ายแพ้ต่อนักอุตสาหกรรมสายอนุรักษ์นิยม แต่ความพยายามของพวกเขาที่จะสร้างความหลากหลายแก่ผู้แทนของเมือง ถือเป็นการบุกเบิกให้เกิดการจับมือเป็นพันธมิตรหลายฝ่ายในภายหลัง ซึ่งก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่จับต้องได้มากกว่า

The sailors’ demonstration in Surabaya, demanding improvements to military hospital facilities, marked the first public action by the ISDV in the city and signaled the emergence of socialist political activity in the colonial urban space. The photo captures the moment as the protesters marched toward the city center before being stopped by the police.
Source: Preanger Bode, May 17, 1916.

การที่ ISDV หันมาใช้ “การเมืองภาคปฏิบัติ” ในปี 1914 ภายใต้การนำของ Henk Sneevliet ถือเป็นหมุดหมายของจุดเปลี่ยนประการหนึ่ง  การปฏิเสธลัทธิอุดมการณ์บริสุทธิ์ที่มีแต่นามธรรม ทำให้พรรคพยายามแข่งขันช่วงชิงอำนาจจากภายในสถาบันของรัฐอาณานิคม  ในสุราบายา การเปลี่ยนทิศทางนี้ลงเอยด้วยการจับมือเป็นพันธมิตรกับองค์กรชาตินิยม Insulinde  นโยบายที่ทั้งสององค์กรร่วมกันร่างขึ้นมา กล่าวคือ Sociale Gemeentepolitiek ผลักดันวาระคู่ขนานชุดหนึ่ง นั่นคือ ขยายสิทธิการออกเสียงเลือกตั้งไปสู่ประชาชนชาวพื้นเมืองที่มีการศึกษา และอ้างสิทธิ์ที่สังคมควรเป็นผู้ควบคุมที่ดินยุทธศาสตร์ในเมือง (gemeentegrond)  ข้อเรียกร้องเหล่านี้ไม่เพียงสร้างความปั่นป่วนแก่ตรรกะเชิงเชื้อชาติของระบบตัวแทนในระบอบอาณานิคม  แต่ยังเน้นย้ำให้เห็นความสำคัญลำดับต้นของปัญหาการจัดสรรปันส่วนความมั่งคั่งเชิงวัตถุเสียใหม่ภายในระบบเศรษฐกิจเมืองที่มีการพัฒนาแบบเหลื่อมล้ำด้วย

ชัยชนะในการเลือกตั้งสภาเมืองในปี 1914 ของแนวร่วมสององค์กรนี้ ซึ่งสามารถยัดเยียดความพ่ายแพ้ให้แก่พรรค Liberal Party และพรรค Christian Ethical Party ได้ เป็นทั้งชัยชนะในเชิงสัญลักษณ์และในเชิงเนื้อหา  สุราบายากลายเป็นเมืองเดียวในหมู่เกาะอินเดียตะวันออกที่มีนักการเมืองจากพรรคสังคมนิยมที่ประกาศตัวชัดเจนอย่างเป็นทางการเข้าไปอยู่ในฝ่ายบริหารจัดการเทศบาล  ถึงแม้มีจำนวนที่นั่งไม่มากนัก แต่ฝ่ายซ้ายก็ประสบความสำเร็จในการวางรากฐานให้วาทกรรมใหม่ๆ ว่าด้วยสิทธิของเมืองกลายเป็นสถาบันขึ้นมา โดยเชื่อมโยงสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้ง การมีที่อยู่อาศัย และที่ดิน เข้าไปรวมอยู่ในโครงการด้านความยุติธรรมทางสังคมที่เป็นภาพใหญ่กว่าได้

ในแง่นี้ บทความนี้อยากชี้ให้เห็นว่า gemeenteraad ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นแค่ระบบราชการของระบอบอาณานิคม แต่ยังเป็นพื้นที่แข่งขันช่วงชิงอำนาจ ซึ่งสามารถแปรแนวคิดสังคมนิยมเกี่ยวกับพลเมืองและการปกครองให้กลายเป็นการปฏิบัติจริง  อย่างไรก็ตาม ความเปราะบางของการทดลองนี้เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัด  ความพยายามแบบเดียวกันในเมืองเซอมารังล้มเหลว สืบเนื่องจากข้อจำกัดเชิงประชากรของผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งที่เป็นชาวพื้นเมือง  แม้กระนั้น กรณีของสุราบายาก็ชี้ให้เห็นศักยภาพทางการเมืองของฝ่ายซ้ายในการแทรกซึมและปรับแต่งชีวิตเชิงสถาบันในระบอบอาณานิคม เป็นตัวอย่างเล็กๆ ให้เห็นการเมืองสมัยใหม่ที่ไม่ได้ปรากฏขึ้นจากการต่อต้านท้าทายจักรวรรดิ แต่เกิดขึ้นโดยอาศัยช่องว่างภายในจักรวรรดิเอง

ฝ่ายซ้ายและวิกฤตการณ์

ระหว่างปี 1916 จนถึงปี 1919 สุราบายาเป็นห้องทดลองการแทรกแซงของฝ่ายซ้ายเข้าไปในเทศบาลภายใต้ขีดจำกัดของการบริหารในระบอบอาณานิคม  เมื่อต้องเผชิญกับความปั่นป่วนของสังคมในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ทั้งราคาสินค้าที่พุ่งสูงขึ้น ห่วงโซ่อุปทานที่ขาดสะบั้นลง และการขาดแคลนที่อยู่อาศัยอย่างรุนแรง  สมาชิกฝ่ายสังคมนิยมในสภาเมือง นำโดย C. Hartogh และได้รับการสนับสนุนจากแนวร่วม ISDV–Insulinde ก็ช่วยกันปรับจุดยืนให้สภา gemeenteraad กลายเป็นสนามทดลองแนวคิดก้าวหน้า  ด้วยการใช้หลักเกณฑ์ควบคู่กันทั้งการปฏิรูปที่อยู่อาศัยและการกำกับดูแลตลาดเป็นแรงกระตุ้นให้แก่วาระนโยบายของตน  Hartogh สามารถเป็นผู้นำในการก่อตั้ง Woningbedrijf และ Grondbedrijf  ได้สำเร็จ  หน่วยงานระดับเทศบาลทั้งสองหน่วยงานนี้มีภารกิจในการสร้างที่อยู่อาศัยที่ประชาชนเข้าถึงได้และคอยกำกับดูแลการเก็งกำไรที่ดิน  หลังจากนั้นตามมาด้วยการร่วมมือข้ามพรรคกับ Jos M. Suijs (Christian Ethical Party) และ D. Williams (Insulinde)  ทำให้เกิดการก่อตั้ง Woningvereeniging  สะท้อนให้เห็นการจับมือทางการเมืองเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในเชิงปฏิบัติที่มีรากเหง้ามาจากความจำเป็นทางสังคมมากกว่าความบริสุทธิ์เชิงอุดมการณ์

กระนั้นก็ตาม การทดลองนี้กลับถูกตีกรอบจำกัดด้วยระบบลำดับชั้นทางเชื้อชาติในระบอบอาณานิคม  ถึงแม้ โครงการจะได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการด้านการลงทุนด้วยเงินกู้ยืมจากธนาคารชวาและพันธบัตรของเทศบาล แต่แผนการสร้างที่อยู่อาศัยกลับให้ผลประโยชน์แก่ประชากรที่มีเชื้อสายอินโด-ยุโรปอย่างมาก  ส่วนชนชั้นกรรมกรชาวพื้นเมือง ทั้งที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของเมือง ยังคงถูกกีดกันในเชิงโครงสร้าง  ทั้งหมดนี้สะท้อนชัดถึงข้อจำกัดของการปฏิรูปการจัดสรรปันส่วนความมั่งคั่งภายในระบบสังคมพลเรือนที่มีการแยกออกเป็นกลุ่มก้อนต่างๆ

วิกฤตการณ์ช่วงสงครามโลกยังชี้ให้เห็นมิติที่สำคัญอีกประการหนึ่งในการดำเนินงานระดับเทศบาลด้วย นั่นคือ ประเด็นความมั่นคงทางอาหาร  ในช่วงต้นปี 1918  Hartogh ริเริ่มการเคลื่อนไหวให้กำหนดเพดานราคาของสินค้าที่เป็นปัจจัยดำรงชีวิต  รัฐบาลตอบสนองด้วยการสร้างโรงทานและให้เงินอุดหนุนการปลูกข้าว แต่ปล่อยให้กลุ่มพ่อค้าชาวจีนที่ฮั้วกันเป็นผู้กำหนดราคาอาหาร ซึ่งประเด็นนี้มีการเปิดโปงขึ้นมาจากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่รัฐ  เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจเมืองที่มีการแยกพลเมืองออกเป็นกลุ่มก้อนทางเชื้อชาติ  ในตอนนั้น การเมืองของฝ่ายซ้ายเริ่มขยายตัวออกไปนอกฐานเสียงชาวยุโรปแล้ว  ในปี 1919 Hartogh ร่วมมือกับ Rosenquist (Sarekat Hindia) และ Soekiran (Sarekat Islam) เพื่อเรียกร้องให้มีการกำกับการจัดสรรปันส่วนข้าว  การระดมมวลชนที่นำโดย Muso แห่ง Sarekat Islam เกิดขึ้นตามมาไม่นานหลังจากนั้น ส่งสัญญาณบ่งบอกถึงจุดเริ่มต้นของแนวร่วมทางการเมืองข้ามชาติพันธุ์ที่มีความสำคัญ แม้จะเปราะบางก็ตาม

เหตุการณ์นี้เป็นหมุดหมายของชั่วขณะที่หาได้ยาก ซึ่งมีการรวมตัวเป็นแนวร่วมระหว่างตัวแสดงฝ่ายสังคมนิยมชาวยุโรปกับองค์กรมวลชนชาวพื้นเมือง  กระนั้นก็ตาม โครงสร้างเชิงเชื้อชาติของการเมืองระบบเลือกตั้งแบบอาณานิคมก็เข้ามายืนยันอำนาจของตนอย่างรวดเร็ว  ถึงแม้ได้รับการสนับสนุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  แต่ Hartogh กลับพ่ายแพ้การเลือกตั้งในปี 1918 ไปอย่างฉิวเฉียด หลังจาก ISDV เลิกจับมือเป็นพันธมิตรกับ Insulinde และพยายามแสวงหาข้อตกลงกับ Sarekat Islam แทน  ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งชาวพื้นเมือง ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของเมืองสุราบายา กลับได้รับการจัดสรรคะแนนเสียงให้เพียง 78 คะแนน  อำนาจในการเลือกตั้งยังคงรวมศูนย์อยู่ในกำมือของชาวยุโรปและชาวอินโด-ยุโรป ซึ่งคนเหล่านี้จำนวนมากยังระแวงแคลงใจในนโยบายสังคมนิยม

การทดลองระดับเทศบาลของฝ่ายซ้าย ซึ่งกล้าหาญทั้งในเชิงวิสัยทัศน์และวิธีการ ยังคงประสบอุปสรรคขวากหนามจากโครงสร้างของระบอบอาณานิคมที่จำกัดขอบเขตของความชอบธรรมทางการเมืองและความเป็นเจ้าของเมืองเอาไว้  กระนั้นก็ตาม มันเผยให้เห็นเรื่องเล่าทวนกระแสที่ตอบโต้เรื่องเล่ากระแสหลักของการเมืองในยุคอาณานิคม  มันเป็นเรื่องเล่าที่บ่งบอกว่าเมืองกลายเป็นเวทีการต่อสู้เพื่อจินตนาการถึงอนาคตที่เสมอภาคมากขึ้น ทั้งนี้โดยไม่ต้องใช้วิธีกบฏล้มล้างการปกครอง แต่ด้วยการเคลื่อนไหวผ่านสภา การผูกพันธมิตรในสังคม และการทำงานเพื่อเปลี่ยนโฉมหน้าในภาคประชาสังคม ซึ่งกินเวลายาวนาน

บทสรุป

เรื่องเล่ากระแสหลักในขบวนการชาตินิยมอินโดนีเซียมักให้อภิสิทธิ์พิเศษแก่เรื่องเล่าของชนชั้นนำ โดยกีดกันเรื่องราวการริเริ่มของฝ่ายซ้ายที่แทรกตัวเข้าไปเพื่อปั้นแต่งโฉมหน้าการเมืองท้องถิ่นเสียใหม่  ตัวแสดงฝ่ายสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์ยุคต้น มักมีภาพจำในบริบทของการต่อต้านอย่างถึงรากถึงโคนหรือการถูกกดขี่ปราบปราม แต่แท้ที่จริงแล้วพวกเขาเข้าไปฝังตัวอยู่ในชีวิตประจำวันของเมืองอาณานิคมด้วย  ในท้องถิ่นอย่างสุราบายา นักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้ายก้าวเข้าสู่สถาบันการเมืองระดับเทศบาลและริเริ่มโครงการที่มีรากฐานอยู่บนความเป็นจริงที่เต็มไปด้วยความไม่เท่าเทียมของชีวิตในเมือง ไม่ว่าจะเป็นการขาดแคลนที่อยู่อาศัย การควบคุมที่ดิน และการเข้าถึงอาหาร  ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่ปัญหาแบบเทคโนแครต แต่เป็นหมุดหมายของโครงการทางการเมืองที่ลึกซึ้งกว่านั้น นั่นคือ การย้ำเตือนถึงสถานะความเป็นพลเมืองของชาวเมืองภายในระเบียบสังคมแบบอาณานิคมที่แบ่งช่วงชั้นด้วยเชื้อชาติ

สุราบายาจึงกลายเป็นเวทีสำคัญอย่างยิ่ง เป็นสถานที่ที่อุดมการณ์ถูกนำมาดำเนินงานผ่านการพัวพันในภาคปฏิบัติ  สภาเทศบาลไม่ใช่พื้นที่ชายขอบ แต่เป็นเวทีที่ตัวแสดงฝ่ายสังคมนิยมต่อสู้กับการบริหารจัดการเมืองที่กีดกันคนนอกออกไป และพยายามสร้างจินตนาการใหม่ถึงเมืองที่เป็นปริมณฑลของการมีส่วนร่วมทางการเมืองร่วมกัน  ความพยายามของพวกเขาเปิดโปงให้เห็นรอยแยกของระบอบอาณานิคมสมัยใหม่ และบุกเบิกการเมืองที่มีทั้งการจัดสรรปันส่วนความมั่งคั่งใหม่และเปิดกว้าง  การที่บทตอนนี้ขาดหายไปจากประวัติศาสตร์นิพนธ์กระแสหลักสะท้อนให้เห็นการกีดกันวิสัยทัศน์ทางการเมืองของกลุ่มคนที่ไม่ใช่ชนชั้นนำมาอย่างต่อเนื่อง  การย้อนเวลาไปเยือนฝ่ายซ้ายในสุราบายากระตุ้นให้เราตระหนักว่า อุดมคติประชาธิปไตยและการเมืองที่เปิดกว้างสามารถเริ่มต้นได้ในระดับท้องถนน ชุมชน และสถานการณ์ประจำวันของคนธรรมดาสามัญ  เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับปัญหาต่างๆ ในเมืองของอินโดนีเซียทุกวันนี้ มรดกของการเมืองฝ่ายซ้ายยุคต้นช่วยนำเสนอให้เห็นทั้งข้อเตือนสติและแรงบันดาลใจว่า เมืองไม่ใช่แค่พื้นที่สำหรับทุนและการควบคุมเท่านั้น แต่ต้องเป็นพื้นที่เพื่อความยุติธรรม การมีตัวแทน และความเป็นหมู่คณะด้วย

Andi Achdian

Andi Achdian  เป็นนักประวัติศาสตร์และภัณฑารักษ์  ผลงานของเขามักสำรวจตรวจสอบจุดบรรจบของประวัติศาสตร์เมือง การเมืองต่อต้านอาณานิคม และความทรงจำของสังคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  งานวิจัยของเขามุ่งเน้นไปที่ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองของเมืองในยุคอาณานิคม โดยให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อเมืองสุราบายาในช่วงต้นศตวรรษที่ 20  เขามีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการ Sociology Program ของภาควิชาสังคมศาสตร์และรัฐศาสตร์ ในมหาวิทยาลัย Universitas Nasional ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงจาการ์ตา  เป็นผู้เขียนหนังสือ Race, Class, and Nation: The History of the Anti-Colonial Movement in Surabaya (Marjin Kiri, 2021)  นอกจากผลงานด้านวิชาการแล้ว เขายังเป็นผู้จัดการนิทรรศการด้านประวัติศาสตร์และสิทธิมนุษยชนหลายงานด้วยกัน อาทิ Munir Human Rights Museum (2013) และ Comarca Balide Museum in Timor-Leste (2024)

Notes –

[1] เรื่องเล่าในบทความนี้มาจากหนังสือของผู้เขียนที่เพิ่งตีพิมพ์เมื่อไม่นานนี้ โปรดดู Andi Achdian (2023). Ras, Kelas Bangsa: politik pergerakan antikolonial di Surabaya abad ke-20 [Race, Class, and Nation: The History of the Anti-Colonial Movement in Surabaya]. Jakarta, Marjin Kiri.

[i] ภาษาดัทช์ แปลว่า สภาเทศบาล

[ii] Kampong ภาษาอินโดนีเซีย เดิมหมายถึงหมู่บ้าน ต่อมาใช้เรียกพื้นที่ชุมชนแออัดด้วย

[iii] หลังจากอินโดนีเซีย ตกเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิดัทช์  สมัยนั้นใช้ชื่อว่า หมู่เกาะอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ หรือ Dutch East Indies เจ้าอาณานิคมดัทช์บริหารจัดการผลประโยชน์บนหมู่เกาะด้วยระบบ Cultivation System (1830-1870) กล่าวคือทุกหมู่บ้านจะต้องกันที่ดินเพาะปลูกหนึ่งในห้ามาปลูกพืชผลเพื่อการส่งออก พืชผลเหล่านี้จะต้องส่งมอบให้รัฐบาลแทนค่าเช่าที่ดิน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือระบบภาษีแบบหนึ่งที่เก็บจากเกษตรกรชาวพื้นเมือง ด้วยวิธีการนี้ทำให้เนเธอร์แลนด์รอดพ้นจากการล้มละลายและกลายเป็นประเทศที่มั่งคั่ง แต่ทำให้ชาวนาส่วนใหญ่ โดยเฉพาะบนเกาะชวา อดอยากยากแค้น นโยบายนี้จึงถูกชาวดัทช์วิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก  รัฐบาลดัทช์จึงเปลี่ยนมาใช้นโยบายเสรีนิยม ซึ่งมีแนวคิดแบบตลาดเสรี ช่วงนี้จึงเรียกกันว่า Dutch Liberal Policy มีการยกเลิกระบบ Cultivation System ในหมู่เกาะอินเดียตะวันออก และเปิดทางให้ธุรกิจเอกชนของนายทุนชาวดัทช์เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์แทน  นายทุนเหล่านี้จึงกว้านที่ดินมาทำเป็นไร่เกษตรกรรมขนาดใหญ่ เพื่อปลูกอ้อย กาแฟ ชา  และยาง รวมทั้งมีการขุดเจาะน้ำมันในสุมาตราและกาลิมันตันด้วย  ภาคเอกชนของดัทช์ได้กำไรมหาศาล รัฐบาลดัทช์คิดว่าระบบเสรีนิยมนี้จะทำให้กำไรที่เกิดขึ้นหยดหยาดลงสู่ประชาชนชาวพื้นเมืองพลอยได้อานิสงส์ไปด้วย แต่ในทางปฏิบัติก็ไม่เกิดขึ้น  การเพาะปลูกเชิงเดี่ยวขนาดใหญ่ทำให้อาหารขาดแคลน แรงงานมีสภาพการทำงานที่โหดร้ายทารุณ และมาตรฐานชีวิตของชาวพื้นเมืองและแรงงานอพยพจากต่างถิ่นไม่ดีขึ้นเลย