สู้กลับและสะสมกำลัง: บทสะท้อนย้อนคิดว่าด้วยขบวนการแรงงานอินโดนีเซีย

Intan Suwandi

Student protests in Jakarta, Indonesia, February 2025. Photo, Bagus Adi Susilo, Shutterstock

บทความนี้อภิปรายถึงการที่หายนภัย อาทิ โรคระบาดโควิด-19 ถูกใช้เป็นเครื่องมือซ้ำเติมการขูดรีดแรงงานอินโดนีเซีย  ในขณะเดียวกัน ผู้นำสหภาพแรงงานและนักกิจกรรมด้านแรงงานได้สะท้อนย้อนคิดเกี่ยวกับขบวนการแรงงานอินโดนีเซียอย่างไรบ้างเพื่อตอบโต้ต่อปรากฏการณ์ดังกล่าว

กฎหมายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อประชาชน

ขณะที่ข้าพเจ้าเขียนบทความนี้ในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2025 เป็นเวลาหลายวันแล้วที่ท้องถนนในหลายเมืองของอินโดนีเซียคับคั่งไปด้วยผู้เดินขบวนประท้วง มีทั้งนักศึกษา แรงงานและประชาชนทั่วไป พวกเขาเรียกร้องให้เพิกถอนกฎหมายกองทัพอินโดนีเซีย (Indonesian Military–TNI) ซึ่งผ่านสภาผู้แทนราษฎรออกมาเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2025  กฎหมายฉบับใหม่นี้เป็นการแก้ไขกฎหมายฉบับก่อน ประชาชนลงความเห็นว่ามันมีปัญหาเพราะมันขัดต่อหลักการพลเรือนมีอำนาจสูงสุด เนื่องจากมีมาตราที่น่ากังขาเป็นพิเศษหลายมาตราด้วยกัน ซึ่ง “สามารถพร่าเลือนเส้นแบ่งระหว่างอำนาจหน้าที่ของฝ่ายพลเรือนกับฝ่ายกองทัพ” ชวนให้นึกถึงและเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นการรื้อฟื้นระบอบอำนาจนิยมยุคระเบียบใหม่กลับมาอีกครั้ง (Paat & Rivana, 2025; Saputra, 2025; Tempo, 2025)  กระบวนการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้มีความเร่งรีบลัดขั้นตอนเกินไปด้วย โดยที่ “ให้โอกาสน้อยมากแก่สาธารณชนที่จะเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย” (Saputra, 2025)  ผู้สันทัดกรณีหลายคนวิพากษ์วิจารณ์ว่า การขาดความโปร่งใสเช่นนี้เป็น “ประเด็นที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง” ในการพิจารณาและร่างกฎหมายของรัฐสภา (Tempo, 2025)

Protestors congregate for a speech in Surabaya, 24 March 2025. Photo: Fishynila, Wikimedia Commons

อันที่จริง เรื่องนี้ชวนให้เรานึกถึงกฎหมาย “ชุดรวมกฎหมายว่าด้วยการสร้างงาน” (Omnibus Law on Job Creation–Undang-Undang Cipta Kerja ต่อไปจะเรียกว่า Omnibus Law) ซึ่งผ่านรัฐสภาเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2020 ท่ามกลางปัญหาโรคระบาดโควิด-19 ทั้งที่ได้รับการคัดค้านจากประชาชนอย่างกว้างขวาง  กฎหมายฉบับนี้ทำให้เกิดการประท้วงระดับชาติเพื่อเรียกร้องให้เพิกถอนกฎหมายเช่นกัน (Prasetyo, 2020; Lane, 2020)  ก่อนสภาจะผ่านกฎหมายออกมา องค์กรฝ่ายพลเรือนหลายองค์กรเสนอข้อชี้แนะแล้วว่า การพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้ควรชะลอไปก่อน “เมื่อคำนึงถึงการเคารพ คุ้มครองและธำรงไว้ซึ่งสิทธิมนุษยชนสำหรับประชาชนชาวอินโดนีเซียทั้งปวง” แต่กระบวนการพิจารณากฎหมายก็ยังดำเนินต่อไปภายใต้ “การปิดลับ” (Panimbang, 2020)

กฎหมาย Omnibus Law มุ่งให้สิทธิประโยชน์แก่ทุนและเครือข่ายสมัครพรรคพวกเท่านั้น  มันเป็นการเหมารวมแก้ไขกฎหมายที่มีอยู่แล้วถึง 79 ฉบับ ซึ่งครอบคลุมหลายประเด็น อาทิ กฎหมายแรงงาน กฎข้อบังคับในการทำเหมือง และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม เป็นต้น  กฎหมายนี้มีเป้าหมายเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศโดยใช้กลไกล้าสมัยแบบเดิมๆ เช่น การขูดรีดแรงงาน และการเวนคืนที่ดิน  ถ้อยคำที่ใช้คือ “การสร้างงาน” แต่แน่นอนว่า คำถามที่สำคัญกว่าก็คือ “งานประเภทไหน?”  สุดท้ายแล้ว สิ่งที่นำไปขายก็คือความอยู่ดีกินดีของประชาชนอินโดนีเซีย โดยเฉพาะแรงงาน รวมทั้งสิ่งแวดล้อมด้วย

หากพิจารณาเพียงแค่ประเด็นแรงงานเพียงอย่างเดียว แทนที่จะเป็น “การสร้างงาน” กฎหมายฉบับนี้กลับเพิ่มการสร้างความยืดหยุ่นให้ตลาดแรงงานและคุกคามความมั่นคงของงาน  มันยังนำไปสู่การแปรรูปสินค้าและบริการสาธารณะให้ตกเป็นของเอกชน จู่โจมทำลายสิทธิแรงงานหลายประการ รวมทั้งสิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น การลาป่วยและการเกษียณ  ยกเลิกบรรทัดฐานที่สำคัญบางอย่าง ซึ่งส่งผลกระทบต่อค่าจ้างขั้นต่ำ (เช่น เงินเฟ้อ) และแง่มุมอื่นๆ (โปรดดู Panimbang, 2020; Izzati, 2020; Prasetyo, 2020)  ไม่น่าแปลกใจเลยที่ธนาคารโลก “สนับสนุนอย่างแข็งขัน” ต่อกฎหมายฉบับนี้  เช่นเดียวกับสมาคมธุรกิจอินโดนีเซียและหอการค้าอินโดนีเซียก็แสดงการสนับสนุนเต็มที่ (Lane, 2020)  ทั้งทุนระดับโลกและทุนท้องถิ่นต่างได้กำไรจากการเปลี่ยนประเภทของการจ้างงาน (ลองนึกถึงงานเปราะบางที่มีค่าจ้างต่ำลง ไม่มีสิทธิประโยชน์ และมีความมั่นคงต่ำ) ซึ่งจะเอื้อให้ขูดรีดได้มากกว่าเดิม  สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ในรูปแบบกลไกและนโยบายสนับสนุนต่างๆ ซึ่งในทางปฏิบัติก็คือการลดค่าจ้างของแรงงานและ/หรือบีบให้แรงงานต้องเพิ่มปริมาณการผลิต

เมื่อข้าพเจ้ามาอินโดนีเซียในช่วงกลางปี 2024 ข้าพเจ้าได้สัมภาษณ์แรงงานภาคการผลิต ผู้นำ/ผู้จัดตั้งสหภาพแรงงาน รวมทั้งนักกิจกรรม/นักวิจัยด้านแรงงาน ในจาการ์ตาและหลายอำเภอในจังหวัดบันเตินและจังหวัดชวาตะวันตก[1]  การสัมภาษณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยในหัวข้อว่า แรงงาน ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลผู้กระทำการหนึ่งในบรรดาหลายกลุ่มในประเทศอย่างอินโดนีเซียนั้น ได้รับผลกระทบและตอบโต้อย่างไรบ้างต่อ “วิกฤตการณ์” ที่ปะทุขึ้นมาจากปรากฏการณ์อย่างโรคระบาดโควิด-19  แต่ส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของการสัมภาษณ์นี้กลายเป็นบทสนทนาเกี่ยวกับยุทธศาสตร์สำหรับขบวนการแรงงานอินโดนีเซียในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของซีกโลกใต้  ผู้ให้สัมภาษณ์หลายคนมีความเกี่ยวข้องทั้งโดยตรงหรือโดยอ้อมในการประท้วงต่อต้านกฎหมาย Omnibus Law นี้  ผู้นำสหภาพแรงงานที่ข้าพเจ้าได้พูดคุยด้วยเป็นสมาชิกของสหภาพที่ริเริ่มองค์กร GEBRAK (ขบวนการแรงงานประสานประชาชน) ซึ่งเป็นองค์กรพันธมิตรของหลายสันนิบาตและหลายสหพันธ์ของสหภาพแรงงานที่ทำงานร่วมกับองค์กรนักศึกษา สตรี สิ่งแวดล้อม และประชาสังคม  องค์กร GEBRAK มีบทบาทในการระดมมวลชนระหว่างการประท้วง Omnibus Law ถึงแม้นี่ไม่ใช่การมีส่วนเกี่ยวข้องกับการประท้วงมวลชนแบบนี้เป็นครั้งแรกก็ตาม  Lane (2020, p. 3) มองว่ายุทธศาสตร์ขององค์กรคือการสร้าง “ขบวนการประชาชนที่ครอบคลุมหลายภาคส่วน”  แต่ก่อนที่เราจะอภิปรายถึงเรื่องนี้ เราลองย้อนไปทบทวนประสบการณ์บางส่วนของแรงงานอินโดนีเซียที่เกี่ยวข้องกับโรคระบาดโควิด-19 ดูก่อน

July 2021. PPKM Covid-19 roadblock, Indonesia. Wikipedia Commons

การฉวยโอกาสจากโรคระบาด

ตอนนี้เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า โรคระบาดโควิด-19 นำพาการสะดุดหยุดชะงักที่ส่งผลร้ายอย่างยิ่งต่อโครงข่ายอันซับซ้อนของห่วงโซ่สินค้าระดับโลก (โปรดดู Foster & Suwandi, 2020) [2]  รายงานของ J.P. Morgan (2022) บรรยายถึงวิกฤตการณ์ห่วงโซ่อุปทานสินค้า ซึ่งต่อมาถูกซ้ำเติมให้สาหัสลงอีกจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน  ก่อให้เกิดสภาพคอขวดที่ยังคงเป็นปัญหาต่อเนื่องในหลายภาคส่วน นับตั้งแต่อุปทานด้านโลหะและการทำเหมืองไปจนถึงเคมีภัณฑ์       

อย่างไรก็ตาม  เรื่องราวมันไม่ชัดเจนเสมอไปเมื่อพิจารณาถึงประเด็นว่า วิกฤตการณ์เหล่านี้ส่งผลกระทบต่อแรงงานในภาคการผลิตอย่างไรบ้าง  อะไรคือความสัมพันธ์ระหว่างการสะดุดหยุดชะงักที่ดูเหมือนเกิดขึ้นทั่วทุกหนแห่งสืบเนื่องจากโรคระบาด กับแรงงานชาวอินโดนีเซียที่ผลิตรองเท้า ประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ให้บรรษัทข้ามชาติ?  เคราะห์ร้ายที่คำตอบยังคงคลุมเครือ  ในห่วงโซ่สินค้าระดับโลกที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง บวกกับเป้าหมายของการขยายการสะสมทุนในระบบเศรษฐกิจโลกแบบจักรวรรดินิยมเช่นนี้ (Smith, 2016; Suwandi, 2019) ปรากฏการณ์ดังเช่นโรคระบาดหรือความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ถึงแม้จะมีผลสะเทือนเกิดขึ้นจริงก็ตาม แต่มันก็อาจเป็นแค่ข้ออ้างอีกอย่างหนึ่งเพื่อขยายการขูดรีดก็ได้

ผู้ให้สัมภาษณ์สังเกตเห็นแบบแผนอย่างเดียวกันในหลายโรงงาน นั่นคือ โรคระบาด และบางครั้งก็ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน กลายเป็นเหตุผลให้แก่การขูดรีดแบบต่างๆ  เริ่มต้นด้วยแรงงานจำนวนมากถูกลอยแพเลิกจ้าง (PHK/Pemutusan Hubungan Kerja)  เหตุผลหลักหรือ? โรงงานที่พวกเขาทำงานให้เป็นผู้ป้อนสินค้าแก่สำนักงานใหญ่ข้ามชาติในซีกโลกเหนือ ซึ่งได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้า (บรรษัทข้ามชาติเช่นกัน) ลดน้อยลงอย่างมาก  “โรคระบาด” มักเป็นเหตุผลที่นำมาอ้าง (ส่วน “สงครามยูเครน” ถูกนำมาอ้างน้อยกว่า) โดยมีนัยยะว่าลูกค้าที่เป็นบรรษัทข้ามชาตินั้นกำลังมีปัญหาทางการเงินสืบเนื่องจากยอดขายที่ได้รับผลกระทบ ดังนั้น พวกเขาจึงลดคำสั่งซื้อลง  แต่เรื่องนี้พิสูจน์ได้ยาก เนื่องจากข้อมูลเกี่ยวกับคำสั่งซื้อของลูกค้ามักเป็นความลับ[3]  บางครั้งฝ่ายบริหารของโรงงานก็อ้างถึงการสะดุดหยุดชะงักที่เกิดจากโรคระบาดเป็นเหตุผลในการเลิกจ้าง บอกว่าผลิตภัณฑ์ของลูกค้าเข้าสู่ตลาดยุโรปไม่ได้ หรือผลิตภัณฑ์ที่ส่งมาจากประเทศอื่นถูกกักไว้ที่ท่าเรือ

และบางทีเรื่องสำคัญที่สุดที่เราควรบันทึกไว้ก็คือ ในหลายๆ โรงงาน มีแบบแผนของการ “ย้ายฐานการผลิต” เกิดขึ้นบ่อยๆ หลังจากเลิกจ้างแรงงานแล้ว  เจ้าของโรงงานมักย้ายฐานโรงงาน หรือสร้างอีกโรงงานหนึ่งในอีกจังหวัดหนึ่งที่ค่าแรงขั้นต่ำต่ำกว่าในจังหวัดที่โรงงานเก่าตั้งอยู่  โรงงานใหม่มักไปสร้างในจังหวัดชวากลาง เช่น ในอำเภอโกรโบกัน  เรื่องนี้เรื่องเดียวก็ทำให้เหตุผล “คำสั่งซื้อลดลง” ที่ฝ่ายบริหารอ้าง กลายเป็นน่ากังขาแล้ว  ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วไปอีกแบบหนึ่งก็คือ ถึงแม้ไม่มีการย้ายฐานโรงงาน แต่มีการจ้างแรงงานสัญญาจ้างชั่วคราว (BHL/Buruh Harian Lepas) ซึ่งไม่มีความมั่นคงในการทำงาน เข้ามาแทนแรงงานเก่าที่ถูกเลิกจ้าง  ในบางโรงงาน มักนิยมจ้าง “เด็กฝึกงาน” (buruh magang) ซึ่งมักเป็นเด็กจบใหม่จากโรงเรียนไฮสกูล  การเปลี่ยนมาใช้แรงงานกลุ่มเปราะบาง (precarious) ประเภทนี้สอดคล้องกับกฎหมาย Omnibus Law ที่ส่งเสริมการสร้างความยืดหยุ่นให้ตลาดแรงงาน และทำให้แรงงานแสวงหางานที่มั่นคงในตลาดแรงงานได้ยากกว่าเดิม[4]

กล่าวโดยสรุป การขูดรีดขยายตัวมากขึ้น ทั้งจากการลดค่าจ้างลง (ด้วยวิธีที่เรียกว่าการสร้างความยืดหยุ่นให้แรงงาน เช่น การจ้างแรงงานที่มีค่าแรงต่ำกว่าในจังหวัดอื่น หรือในรูปของแรงงานสัญญาจ้างชั่วคราว) และด้วยวิธีการเพิ่มผลิตภาพ  ใครได้ประโยชน์จากปรากฏการณ์ทั้งหมดนี้?  และในบรรดาฝ่ายที่ได้รับประโยชน์นั้น ใครได้กำไรมากที่สุด (คำใบ้: ใครกอบโกยมูลค่าสูงสุดในห่วงโซ่มูลค่าระดับโลก)?  ท่านผู้อ่านคงสามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้   นี่คือสิ่งที่ฝ่ายคัดค้านและวิพากษ์วิจารณ์กฎหมาย Omnibus Law ชี้ให้เห็นมาแล้ว ดังที่ผู้นำสหภาพแรงงานคนหนึ่งกล่าวไว้ในการให้สัมภาษณ์กับข้าพเจ้าว่า กฎหมายฉบับนี้เป็นแค่ “พรมแดง” ที่ปูต้อนรับนักลงทุนต่างชาติ

A labour union protesting alphabet blocks that read “TOLAK OMNIBUS LAW” meaning “REJECT THE OMNIBUS LAW,” a term widely used among protesters. Photo: Monitor Civicus, Wikipedia Commons

บทสะท้อนย้อนคิดเกี่ยวกับขบวนการแรงงานอินโดนีเซีย

แรงงานตอบโต้ต่อการขูดรีดเหล่านี้อย่างไรบ้าง?  แรงงานทุกคนที่ข้าพเจ้าได้สัมภาษณ์ล้วนสังกัดสหภาพแรงงาน  ดังนั้น พวกเขาจึงไม่เพียงตอบโต้ แต่ยังสู้กลับเต็มกำลังเท่าที่ทำได้ผ่านสหภาพของตน โดยเฉพาะในระดับโรงงาน เช่น ด้วยการเจรจาต่อรองกับฝ่ายบริหาร  ประสบการณ์ประเภทนี้เป็นหัวข้อที่ควรอภิปรายในคราวอื่น  เรื่องที่ข้าพเจ้าต้องการหยิบยกมาให้พิจารณาในที่นี้เป็นประเด็นใหญ่กว่านั้น กล่าวคือ ผู้นำ/ผู้จัดตั้งสหภาพแรงงานและนักกิจกรรม/นักวิจัยด้านแรงงานมองปรากฏการณ์ข้างต้นอย่างไร และเชื่อมโยงปรากฏการณ์ดังกล่าวกับการสะท้อนย้อนคิดเกี่ยวกับขบวนการแรงงานอินโดนีเซียอย่างไรบ้าง  โดยทั่วไปแล้ว ผู้ให้สัมภาษณ์ส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันว่า (1) ปรากฏการณ์ดังเช่นวิกฤตการณ์หลายอย่างที่เกิดมาจากโรคระบาดโควิด-19 ถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างเพื่อขยายการขูดรีดแรงงาน โดยทั้งทุนและรัฐเป็นผู้กระทำ  และ (2) ยุทธศาสตร์ระยะยาวเป็นสิ่งที่จำเป็นในการสร้างขบวนการแรงงานที่เข้มแข็งกว่านี้

ถึงแม้มีความคิดเห็นไม่พ้องต้องกันบ้าง แต่ผู้นำ/ผู้จัดตั้งสหภาพแรงงานส่วนใหญ่ (บางคนเป็นคนงานโรงงานในขณะที่ให้สัมภาษณ์ด้วย)  และนักกิจกรรม/นักวิจัยด้านแรงงาน ต่างเห็นตรงกันว่า มีความจำเป็นต้องสร้างขบวนการที่ครอบคลุมกว่านี้แทนที่จะเป็นแค่ขบวนการของชนชั้นแรงงานอุตสาหกรรมที่มีสหภาพแรงงานเป็นแกนนำและมีทัศนะต่อปัญหาอย่างคับแคบ  มีหลายปัจจัยที่ผู้ให้สัมภาษณ์หลายคนเน้นย้ำ  แม้จะมีความแตกต่างกันบ้าง แต่ข้าพเจ้าขอสรุปรวมไว้ในที่นี้  ประการแรก เราจำเป็นต้องมีขบวนการแรงงานที่เปิดกว้าง สามารถเข้าถึงภาคส่วนต่างๆ ของประชาสังคมได้อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะกลุ่มที่ก้าวหน้าและถึงรากถึงโคน ซึ่งรวมถึงองค์กรของชาวนาและเฟมินิสต์  นี่คือวิธีการที่เราจะสร้างขบวนการให้เข้มแข็งขึ้น และเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่ขาดไม่ได้ในการเผชิญหน้ากับการกดขี่ของรัฐ เช่น ในรูปของกฎหมาย Omnibus Law เป็นต้น  GEBRAK เป็นความสำเร็จที่มีความหมาย และจำเป็นต้องมียุทธศาสตร์อื่นๆ ในการสะสมเพิ่มเติมพันธมิตรแบบนี้ โดยเฉพาะการประสานกับกลุ่มก้อนที่ไม่ได้กระจุกตัวอยู่ในเมืองใหญ่เท่านั้น  สหภาพแรงงานเองต้องสามารถเข้าหาแรงงานในภาคส่วนต่างๆ ที่หลากหลาย รวมทั้งรู้บุคลิกและลักษณะประชากรของแรงงานในสหภาพของตนเป็นอย่างดี เพื่อให้สามารถปรับตัวและปรับปรุงยุทธศาสตร์ของตนให้ทันสมัย[5]

ประการที่สอง เราจำเป็นต้องระดมสมองด้วยว่า จะคิดค้นข้อเรียกร้องอย่างไรให้เป็นรูปธรรมและดีกว่าเดิม อาจจะต้องสร้างสูตรสำเร็จของนโยบายทางเลือกที่เข้มแข็งของเราเอง เพื่อให้เราก้าวพ้นจากการตกอยู่ในสถานะ “ตั้งรับ” (กล่าวคือ สู้กลับต่อเมื่อเกิดกฎเกณฑ์ข้อบังคับที่กดขี่) ทุกครั้งไป[6]  กระนั้นก็ตาม สำหรับผู้นำ/ผู้จัดตั้งสหภาพบางคน สิ่งที่ยังคงเป็นเรื่องสำคัญคือการวางรากฐานการนัดหยุดงานทั่วไปที่เข้มแข็งด้วยการสร้างจิตสำนึกอย่างต่อเนื่อง ณ จุดที่ทำการผลิต  ดังนั้น เมื่อแรงงานจำเป็นต้องปิดจุดการผลิตนั้นลง “โครงสร้างการนัดหยุดงาน” ต้องพร้อมแล้ว ณ จุดนั้นด้วย

ประการที่สาม การศึกษารากหญ้าด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองสำหรับแรงงาน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างจิตสำนึกทางชนชั้นเป็นหัวใจที่สำคัญมาก  ผู้ให้สัมภาษณ์บางคนเน้นย้ำอย่างหนักแน่นว่า ชั้นเรียนอย่างไม่เป็นทางการหรือกลุ่มพูดคุยถกเถียงควรรองรับแรงงานได้ทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มที่มักถูกกีดกันออกจากกิจกรรมของสหภาพ เช่น กลุ่มแม่ที่ต้องกลับมารับภาระงานบ้านหลังเลิกงาน  ประการที่สี่ นักกิจกรรมด้านแรงงานบางคนเสนอแนะว่า สหภาพแรงงานจำเป็นต้องใคร่ครวญเรื่องยุทธศาสตร์ในการรื้อฟื้นบทบาทหน้าที่ของตนให้เป็นพื้นฐานสำหรับขบวนการทางสังคม  สหภาพแรงงานมักถูกบีบให้เปลี่ยนบทบาทมาทำหน้าที่ด้านสังคมสงเคราะห์ ส่วนหนึ่งสืบเนื่องจากรัฐหาทางลิดรอนให้สหภาพอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง (แม้กระทั่งหลังจากที่ยุคระเบียบใหม่ของซูฮาร์โตหมดอำนาจลงแล้ว)  เพื่อดึงดูดสมาชิกเข้ามา หลายสหภาพต้องแข่งกันเสนอ “บริการ” แก่สมาชิกให้มากที่สุด (ตั้งแต่แจกจ่ายชุดอาหารยังชีพไปจนถึงให้บริการรถพยาบาล)  ด้วยกรอบการทำงานแบบนี้ จึงยากที่สหภาพแรงงานจะสานต่อการเป็นฐานรากของขบวนการสังคมอย่างมีความหมาย  นักกิจกรรมอื่นๆ ก็สะท้อนความนึกคิดนี้  พวกเขาคิดว่าขบวนการแรงงานในอินโดนีเซียน่าจะได้ประโยชน์จากการเอียงซ้ายให้มากขึ้นและขยายเครือข่ายเพื่อระดมมวลชนได้มากกว่าเดิม

Indonesia’s People’s Representative Council. Photo: Wikimedia Commons

ข้อคิดเห็นส่งท้าย

สิ่งที่สะท้อนออกมาจากการย้อนคิดทบทวนของผู้ให้สัมภาษณ์ก็คือ ถ้าได้มีการพูดคุยหารือกันมากขึ้นระหว่างแรงงาน นักกิจกรรม/นักวิจัยด้านแรงงาน และผู้นำ/ผู้จัดตั้งสหภาพแรงงาน น่าจะมีประโยชน์อย่างยิ่งในการกำหนดทิศทางของการสร้างพันธมิตรต่อไป และเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาอ่อนแอลงเมื่อไม่มีประเด็นปัญหา “เฉพาะหน้า” ที่ต้องตอบโต้ เช่น กฎข้อบังคับที่ต้องขัดขืน รวมทั้งค้นหาวิธีการในการสร้างการรุกกลับบ้าง  การพูดคุยหารือนี้ควรจัดเป็นประจำในรูปแบบไม่เป็นทางการ เปิดกว้าง และรากหญ้า ซึ่งกลุ่มแรงงานที่หลากหลายสามารถเข้าถึงได้  ผู้ให้สัมภาษณ์มีข้อเสนอมากมาย ทั้งแรงบันดาลใจ การวิพากษ์ตัวเองอย่างสร้างสรรค์ และความรู้ที่มีค่า ซึ่งทั้งหมดนี้สั่งสมมาจากประสบการณ์ที่มีความหมายอย่างยิ่ง  พวกเขาทุกคนล้วนเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในภูมิทัศน์ของขบวนการแรงงานอินโดนีเซีย ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม  ถึงเวลาแล้วที่พวกเราต้องตระหนักถึงข้อคิดและแนวความคิดเหล่านี้ เพื่อนำพามาซึ่งแสงสว่างเมื่อต้องเผชิญกับความมืดมิด

Intan Suwandi

Intan Suwandi เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ในภาควิชาสังคมวิทยา มหาวิทยาลัย Illinois State University สหรัฐอเมริกา เธอเป็นผู้เขียนหนังสือ Value Chains: The New Economic Imperialism  ซึ่งตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Monthly Review Press. 

Notes – 

[1] ผู้นำ/ผู้จัดตั้งสหภาพแรงงานมาจากองค์กรต่อไปนี้คือ  KSN (Confederation of National Unions), KASBI (Indonesian Trade Union Congress Alliance Confederation) และ SGBN (The Center of National Workers Movement)  ส่วนนักกิจกรรม/นักวิจัยด้านแรงงานสังกัดหรือเคยสังกัดองค์กรต่อไปนี้คือ LIPS (Sedane Labour Resource Centre) และ P2RI (The Unity of Indonesian People’s Struggles).

[2] ในช่วงต้นปี 2020 กว่า 90% ของบรรษัทข้ามชาติใน  Fortune 1000  มีซัพพลายเออร์ที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาด  พอถึงช่วงกลางเดือนเมษายน 2020 กว่า 80% ของบริษัทผลิตสินค้าในระดับโลกต้องประสบปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนต่างๆ (Betti & Hong, 2020; Braw, 2020; DeMartino, 2020).

[3] แต่เมื่อสหภาพแรงงานขอความช่วยเหลือจากองค์กรด้านแรงงานให้ช่วยตรวจสอบผลประกอบการของลูกค้าโรงงาน พวกเขากลับพบว่า กำไรของบรรษัทข้ามชาติไม่ได้รับผลกระทบ แต่เพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ  ในบางกรณี โรงงานเองก็มีกำไรเพิ่มขึ้น นี่คือตัวอย่างที่ตัวแทนสหภาพแรงงานค้นพบ

[4] มีวิธีการกดขี่ขูดรีดแบบอื่นๆ อีกมากมายที่หยิบยกมากล่าวถึง บางวิธีการก็ได้รับการสนับสนุนจากนโยบายของรัฐบาล อาทิ การลดชั่วโมงทำงานของแรงงาน และเท่ากับลดค่าจ้างของพวกเขาลงด้วย (ตามนโยบาย “ไม่มีงาน ไม่มีค่าจ้าง)  การตัดลดค่าจ้างจนถึง 25% ในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้นและเน้นการส่งออก และยังมีอีกหลายวิธีการที่ข้าพเจ้าไม่ได้หยิบยกมาอภิปรายถึงในที่นี้ สืบเนื่องจากเนื้อที่มีจำกัด

[5] จากคำให้สัมภาษณ์ของนักกิจกรรม/นักวิจัยด้านแรงงานบางคน  สหภาพแรงงานที่มีโครงสร้างเหมือนระบบราชการ ซึ่งทำให้ระดับแกนนำไม่สามารถสื่อสารอย่างเหมาะสมชัดเจนกับแรงงานในสถานการผลิต เป็นการจัดตั้งที่ไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้วในยุคสมัยของการเพิ่มความยืดหยุ่นในตลาดแรงงานอย่างทุกวันนี้

[6] ผู้นำสหภาพแรงงานคนหนึ่งอ้างถึงความจำเป็นต้องต่อสู้ในทั้งสองสังเวียนด้วย กล่าวคือ ทั้งการสร้างพันธมิตรอย่างเช่น GEBRAK และทั้งการต่อสู้ในระบบรัฐสภา เช่น การมีส่วนร่วมในพรรคแรงงาน Partai Buruh ซึ่งเพิ่งก่อตั้งขึ้น

References – 

Betti, F. & Hong, P.K. (2020, February 27). Coronavirus is disrupting global value chains. Here’s how companies can respond. World Economic Forum. https://www.weforum.org/agenda/2020/02/how-coronavirus-disrupts-global-value-chains

Braw, E. (2020, March 4). Blindsided on the supply side. Foreign Policy. https://foreignpolicy.com/2020/03/04/blindsided-on-the-supply-side/

DeMartino, B. (2020, April 13). COVID-19: Where is your supply disruption? https://futureofsourcing.com/covid-19-where-is-your-supply-disruption

Foster, J.B. & Suwandi, I. (2020). COVID-19 and catastrophe capitalism. Monthly Review, 72(2), 1-20.

Izzati, F.F. (2020, October 13). Kill the bill, or it will kill us all. Progressive International. https://progressive.international/wire/2020-10-13-kill-the-bill-or-it-will-kill-us-all/en

J.P. Morgan. (2022, May 25). What’s behind the global supply chain crisis? https://www.jpmorgan.com/insights/global-research/supply-chain/global-supply-chain-issues.

Lane, M. (2020, November 9). Protests against the Omnibus Law and the evolution of Indonesia’s social opposition. ISEAS Perspective, 128. https://www.iseas.edu.sg/wp-content/uploads/2020/11/ISEAS_Perspective_2020_128.pdf

Paat, Y. & Rivana, G. (2025, March 20). DPR urges dialogue as students protest TNI Law. Jakarta Globe. https://jakartaglobe.id/news/dpr-urges-dialogue-as-students-protest-tni-law

Panimbang, F. (2020, October 21). Indonesia’s return to an authoritarian developmental state. IPS Journal. https://www.ips-journal.eu/topics/democracy/indonesias-return-to-an-authoritarian-developmental-state-4734/

Prasetyo, F.A. (2020, October 17). Neoliberal “Omnibus Law” sparks rebellion in Indonesia. rs21. https://revsoc21.uk/2020/10/17/neoliberal-power-grab-sparks-rebellion-in-indonesia/

Saputra, E.Y. (2025, March 27). Civil society to file judicial review of TNI Law over flawed process, power grab. Tempo. https://en.tempo.co/read/1991283/civil-society-to-file-judicial-review-of-tni-law-over-flawed-process-power-grab

Smith, J. (2016). Imperialism in the twenty-first century. Monthly Review Press.

Suwandi, I. (2019). Value chains: The new economic imperialism. Monthly Review Press.

Tempo. (2025, March 28). Law experts explain why house rushed to pass TNI Law despite public outcry. https://en.tempo.co/amp/1991668/law-experts-explain-why-house-rushed-to-pass-tni-law-despite-public-outcry

Reference –

Betti, F. & Hong, P.K. (2020, February 27). Coronavirus is disrupting global value chains. Here’s how companies can respond. World Economic Forum. https://www.weforum.org/agenda/2020/02/how-coronavirus-disrupts-global-value-chains
Braw, E. (2020, March 4). Blindsided on the supply side. Foreign Policy. https://foreignpolicy.com/2020/03/04/blindsided-on-the-supply-side/
DeMartino, B. (2020, April 13). COVID-19: Where is your supply disruption? https://futureofsourcing.com/covid-19-where-is-your-supply-disruption
Foster, J.B. & Suwandi, I. (2020). COVID-19 and catastrophe capitalism. Monthly Review, 72(2), 1-20.
Izzati, F.F. (2020, October 13). Kill the bill, or it will kill us all. Progressive International. https://progressive.international/wire/2020-10-13-kill-the-bill-or-it-will-kill-us-all/en
J.P. Morgan. (2022, May 25). What’s behind the global supply chain crisis? https://www.jpmorgan.com/insights/global-research/supply-chain/global-supply-chain-issues.
Lane, M. (2020, November 9). Protests against the Omnibus Law and the evolution of Indonesia’s social opposition. ISEAS Perspective, 128. https://www.iseas.edu.sg/wp-content/uploads/2020/11/ISEAS_Perspective_2020_128.pdf
Paat, Y. & Rivana, G. (2025, March 20). DPR urges dialogue as students protest TNI Law. Jakarta Globe. https://jakartaglobe.id/news/dpr-urges-dialogue-as-students-protest-tni-law
Panimbang, F. (2020, October 21). Indonesia’s return to an authoritarian developmental state. IPS Journal. https://www.ips-journal.eu/topics/democracy/indonesias-return-to-an-authoritarian-developmental-state-4734/
Prasetyo, F.A. (2020, October 17). Neoliberal “Omnibus Law” sparks rebellion in Indonesia. rs21. https://revsoc21.uk/2020/10/17/neoliberal-power-grab-sparks-rebellion-in-indonesia/

Saputra, E.Y. (2025, March 27). Civil society to file judicial review of TNI Law over flawed process, power grab. Tempo. https://en.tempo.co/read/1991283/civil-society-to-file-judicial-review-of-tni-law-over-flawed-process-power-grab

Smith, J. (2016). Imperialism in the twenty-first century. Monthly Review Press.

Suwandi, I. (2019). Value chains: The new economic imperialism. Monthly Review Press.

Tempo. (2025, March 28). Law experts explain why house rushed to pass TNI Law despite public outcry. https://en.tempo.co/amp/1991668/law-experts-explain-why-house-rushed-to-pass-tni-law-despite-public-outcry