เหตุบรรจบของความปั่นป่วน: สะท้อนย้อนคิดถึงเหตุการณ์ 15 มกราคม (มาลารี)

Kartini Monument, Tulung Agung, East Java, Indonesia. Photo: Mang Kelin, Shutterstock

ในเดือนพฤษภาคม 1899 การ์ตินี (Kartini, 1879-1904) ซึ่งกำลังเขียนหนังสือในชวาภายใต้อาณานิคมของดัทช์ เธอเขียนข้อความหนึ่งถึงพายุอันทรงพลังของการเปลี่ยนแปลงที่กำลังปกคลุมทั่วทั้งโลกที่เธออาศัยอยู่ว่า

“จิตวิญญาณแห่งยุคสมัย ผู้ช่วยเหลือและผู้คุ้มครองของข้าพเจ้า กำลังย่ำฝีเท้าดังกึกก้อง  บรรดาสถาบันเก่าแก่ที่โอหัง แข็งแกร่ง ต่างซวดเซเมื่อเขาเข้ามาใกล้เขตแดนของพวกนั้น ประตูที่ลั่นดาลไว้แน่นหนาเปิดผาง บางบานราวกับเปิดออกด้วยตัวมันเอง บางบานเปิดยากเย็นกว่า แต่ก็เปิดออกจนได้ และยินยอมให้อาคันตุกะไม่ได้รับเชิญก้าวล่วงเข้ามา และไม่ว่าเขาไปถึงตรงไหน เขาก็ทิ้งร่องรอยของตัวเองไว้ที่นั่น” (“Letter to Stella Zeehandelaar”; Kartini, 1912)

การ์ตินีอายุยังไม่ถึง 20 ปีบริบูรณ์เมื่อเขียนข้อความนี้  เธออ้าแขนรับความปั่นป่วนของความเปลี่ยนแปลงอย่างไม่มีข้อแม้ มองว่ามันคือจิตวิญญาณที่ช่วยเหลือและคุ้มครอง  ถึงแม้อาจส่งผลกระทบในเชิงทำลายล้าง แต่มันคือความจำเป็นที่จะเอื้ออำนวยให้เธอและเพื่อนร่วมชาติชายหญิงได้ปลดแอกตัวเองจากการกดขี่ของระบอบอาณานิคมและระบบศักดินาที่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด  ข้อความนี้เขียนขึ้นหลังจากการปรากฏของ แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ ในปี 1848 เพียง 51 ปี  ภาพบุคลาธิษฐานแทนความปั่นป่วนของความเปลี่ยนแปลงที่การ์ตินีเขียนถึงสะท้อนประโยคเปิดแถลงการณ์ของมาร์กซ์และเองเกลส์

“ผีตนหนึ่งกำลังหลอกหลอนยุโรป ผีแห่งลัทธิคอมมิวนิสต์  เหล่าผู้ครองอำนาจของยุโรปเก่าพากันร่วมปฏิญาณตนเป็นพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อปราบผีตนนี้…” (Marx and Engels, 1847)

ในชีวิตหลังความตายเมื่อประเทศได้เอกราชแล้ว การ์ตินีกลายเป็นสัญลักษณ์แทน “ibuism” (ความเป็นแม่) แห่งรัฐ (Suryakusuma, 1996) และในยุคระเบียบใหม่ภายใต้การครองอำนาจของซูฮาร์โต ก็ยิ่งมีการตอกย้ำรากฐานปิตาธิปไตยของระบอบอำนาจนิยมแบบทหาร  พลังชีวิตในวัยสาวของเธอถูกแทนที่ด้วยภาพลักษณ์สงบเสงี่ยมเรียบร้อยของความเป็นแม่แห่งรัฐ ทั้งที่ในความเป็นจริงนั้น เธอกบฏต่อการแต่งงาน และถึงแม้สุดท้ายต้องยอมจำนน แต่เธอก็เสียชีวิตในวัยเพียง 25 ปี สี่วันหลังจากให้กำเนิดลูกคนแรกและคนเดียว  เรื่องที่สำคัญกว่าเมื่อเราครุ่นคำนึงถึงความปั่นป่วน ก็คือการที่ผู้มีอำนาจในระบอบอาณานิคม ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นผู้คุ้มครอง “ตัวจริง” ของเธอ จัดการลบทิ้งจุดยืนก้าวหน้าขันแข็งในการคิดการเขียนของการ์ตินี  การปิดปากเสียงของเธอเช่นนี้เป็นสิ่งที่รัฐยุคระเบียบใหม่รับมาสานต่อในที่สุด

Portrait of Raden Adjeng Kartini. Wikipedia Commons

งานเขียนของปรามูเดีย อานันตา ตูร์ (Pramoedya Ananta Toer, 1925-2006) ในปี 1962 ชื่อ Panggil Aku Kartini Saja (“แค่เรียกฉันว่าการ์ตินี”) เป็นหนึ่งในหนังสือแค่ไม่กี่เล่มที่เน้นย้ำความคิดก้าวหน้าเอียงซ้ายของการ์ตินี  อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปรามูเดียถูกขังลืมถึงสิบสามปี หนังสือที่เขาสะสมไว้ถูกทำลายและต้นฉบับเขียนไม่จบ ตลอดจนการสั่งห้ามงานเขียนของเขาแบบเหวี่ยงแหภายใต้คำสั่งของสมัชชาใหญ่ของประชาชนเฉพาะกาลปี 1966 (Provisional People’s General Assembly of 1966–TAP MPRS XXV/1966) ซึ่งสั่งห้ามการตีพิมพ์ทุกชนิดที่ถูกตีตราว่าส่งเสริมอุดมการณ์ “มาร์กซิสต์/เลนินนิสต์” ทำให้ความทรงจำทุกอย่างเกี่ยวกับการแสดงความคิดเห็นก้าวหน้าในยุคแรกเริ่มนี้ถูกกดปราบอย่างรุนแรง และส่วนใหญ่ยังเป็นเช่นนั้นมาจนถึงทุกวันนี้

ในสมัยที่อินโดนีเซียยังใช้ชื่อว่าหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ ความปั่นป่วนในรูปแบบนี้ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อยุทธศาสตร์การเอารัดเอาเปรียบของระบอบอาณานิคม พร้อมกับการยุติระบบเพาะปลูก[1] ที่รัฐเป็นผู้ควบคุม  นโยบายเสรีนิยมที่กลายเป็นนโยบายใหม่ในปี 1879 และแรงขับเคลื่อนไปสู่การแปรรูปเป็นเอกชน  รัฐกลายเป็นแค่ระบบที่คอยสร้างความมั่นคงและดูแลสอดส่องให้เกิด “สันติสุขและความมีระเบียบเรียบร้อย” (“rust en orde”) ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุนเอกชนเรียกร้องต้องการ  การทำความเข้าใจต่อการปิดปากเสียงของการ์ตินีเผยให้เห็นการสมคบคิดกันระหว่างการแปรรูปเป็นเอกชนกับการขึ้นครองอำนาจของรัฐตำรวจที่ “มุ่งหาความมั่นคง” (pendekatan keamanan) ซึ่งคอยค้ำจุนอินโดนีเซียยุคระเบียบใหม่หลังยุคการปฏิรูป (Reformasi ) มาจนถึงทุกวันนี้  ความปั่นป่วนคือผีที่ถูกระบบทุนนิยมซื้อตัวไปและคอยปลุกผีขึ้นมาเรื่อยๆ เพื่อให้มันเล่นบทบาทบิดเบี้ยวในการธำรงไว้ซึ่งระเบียบเสรีนิยมในยุคอาณานิคมและระเบียบเสรีนิยมใหม่ในปัจจุบัน

A car on fire in Jakarta during the 15 January 1974 “Malari” riots. Wikimedia Commons

การเสกสรรปั้นแต่งความปั่นป่วน: “มาลารี” ในฐานะจุดของการสะท้อนย้อนคิด

เหตุการณ์ Malapetaka Lima Belas Januari หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า มาลารี (Malari) ซึ่งแปลว่า “ความหายนะ 15 มกราคม” เกิดขึ้นในปี 1973-1974 หลังจากรัฐบาลยุคระเบียบใหม่ใช้ความรุนแรงก้าวขึ้นสู่อำนาจได้ 8 ปี ยังคงเป็นเหตุการณ์หนึ่งที่ค่อนข้างลึกลับดำมืดในประวัติศาสตร์อินโดนีเซียร่วมสมัย

สืบเนื่องจากการที่มันมีข้อมูลจำนวนมากสูญหายและถูกปิดกั้น จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเล่าถึงลำดับของเหตุการณ์นี้อย่างเป็นเส้นตรง และต้องอาศัยเรื่องเล่าผ่านสายตาวิพากษ์มากกว่านี้   ลำดับเหตุการณ์เป็นเส้นตรงดังที่สื่อและรัฐมักเผยแพร่ อีกทั้งต่อมาระบบยุติธรรมเองก็ชอบเล่าแบบเดียวกัน ก็คือในช่วงก่อนที่นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น คาคูเออิ ทานากะ (Kakuei Tanaka, 1918-1993) จะมาเยือนอินโดนีเซียนั้น  นักศึกษามหาวิทยาลัยในอินโดนีเซีย ซึ่งกำลังประท้วงโครงการลงทุนของญี่ปุ่นในอินโดนีเซีย ออกมาคัดค้านการมาเยือนของเขา และก่อความวุ่นวายใหญ่โตจนขยายตัวออกไปนอกรั้วมหาวิทยาลัย จงใจปลุกระดมมวลชนกรรมาชีพในเมืองให้ออกมาก่อจลาจล ทุบทำลายอะไรก็ตามที่เห็นว่าเป็นสิ่งก่อสร้างของญี่ปุ่น (รวมทั้งโรงงานประกอบรถยนต์โตโยตาในอินโดนีเซีย) รวมทั้งเผาศูนย์การค้า Senen (pasar Senen) ที่เพิ่งเปิดใหม่ในย่านธุรกิจของจาการ์ตาด้วย  ผู้นำนักศึกษาถูกควบคุมตัว ถูกสอบปากคำ และหลายคนถูกตั้งข้อหาบ่อนทำลายประเทศ โดยเฉพาะ Hariman Siregar ประธานสภานักศึกษามหาวิทยาลัยอินโดนีเซีย และ Sjahrir S.E. นักวิชาการหนุ่มด้านเศรษฐศาสตร์  ข้อกล่าวหาแรกๆ ที่นักกิจกรรมมหาวิทยาลัยโดนกันก็คือ พวกเขาเป็นแนวร่วมกับปีกฝ่ายซ้ายของพรรค PSI (Partai Sosialis Indonesia) หรือพรรคสังคมนิยมแห่งอินโดนีเซียที่ยุบพรรคไปแล้วในปัจจุบัน ปีกซ้ายของพรรคนี้ถูกกล่าวหาว่าชักใยอยู่เบื้องหลังการประท้วงของนักศึกษาเพื่อหาทางล้มล้างรัฐบาลยุคระเบียบใหม่  ด้วยเหตุนี้เอง ปัญญาชน “สังคมนิยม” อย่าง Sarbini Sumawinata และ Soebadio Sastrosatomo จึงถูกจับตัวไปด้วยระหว่างปฏิบัติการกวาดล้างของกองทัพและตำรวจ  ทั้งสองถูกจำคุกนานกว่าสองปีโดยไม่ได้รับความเป็นธรรม (Thee Kian Wie, 2007) เช่นเดียวกับปัญญาชนและทนายความสิทธิมนุษยชนอีกหลายคน อาทิ Adnan Buyung Nasution และ Haji Princen

ถ้อยความพรรณนาถึงขั้นตอนต่างๆ ในการสอบปากคำมาจากประสบการณ์ส่วนบุคคลที่ได้รับจากการถูกสอบสวนอย่างหนักหน่วงหลายรอบ รวมทั้งมีการเปรียบเทียบกับสิ่งที่คนอื่นๆ ได้ประสบมา รวมทั้งการดำเนินคดีของ Hariman Siregar และ Sjahrir S.E.  ระหว่างการสอบสวนเบื้องต้นที่กองบัญชาการตำรวจทหาร (POM) ในจาการ์ตา คำถามหลายข้อดูราวกับจงใจเค้นเอาคำตอบที่เป็นหลักฐานเพื่อมัดฝ่ายซ้ายของพรรค PSI ว่ามีส่วนสมรู้ร่วมคิด กระทั่งพยายามค้นหาสายสัมพันธ์กับเครือข่ายลับคอมมิวนิสต์ที่ทึกทักว่ามีอยู่  นักกิจกรรมหลายคนที่ยังไม่ถูกจับกุมจึงหนีไปซ่อนตัวเพราะความกลัวในเรื่องนี้

อย่างไรก็ตาม ระหว่างการสอบปากคำหลังจากนั้นโดยสำนักอัยการแห่งรัฐ (Kejaksaan) ปรากฏว่ามีแม่แบบของเรื่องเล่าคอยชี้นำการสอบปากคำในขั้นตอนที่สอง โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างหลักฐานและวัตถุพยานสำหรับการดำเนินคดี  แม่แบบนี้เองกลายเป็นเรื่องเล่าที่ถูกหยิบยกมาเล่าซ้ำและแพร่หลายอย่างกว้างขวาง กลายเป็นแม่แบบที่วงการสื่อมวลชนส่วนใหญ่ใช้กันจนถึงทุกวันนี้

Crowds on the streets during the 15 January 1974 “Malari” riots. Wikimedia Commons

เมื่อช้างสารชนกัน กระจงน้อยก็แหลกลาญ

 ในการสอบปากคำรอบอัยการ พยานและบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะได้รับแบบสอบถามยาวเหยียดให้กรอก  ตามประสบการณ์ส่วนตัวนั้น ถึงแม้ข้าพเจ้าหลีกเลี่ยงการถูกควบคุมตัวได้ แต่อัยการก็ใช้การกดดันรูปแบบต่างๆ เพื่อเค้นเอาคำตอบที่ต้องการ  อาทิ การถูกขังเดี่ยวไว้ในห้องหลายชั่วโมง และการข่มขู่ว่าจะส่งตัวไปคุมขังกับกลุ่ม Gerwani (ขบวนการของผู้หญิงอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นแนวร่วมของ PKI  สมาชิกจำนวนมากของกลุ่มนี้ถูกล้อมปราบ ถูกข่มขืนและทรมาน และถูกคุมขังนานหลายปี)  ถ้าการกดดันเช่นนั้นรีดเค้นคำตอบที่ต้องการไม่ได้ อัยการก็จะแสดงภาพอธิบายฉากทัศน์ที่การสอบปากคำต้องนำเสนอหลักฐาน

ภาพนี้ใช้ความเชื่อที่ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คุ้นเคยกันดี นั่นคือ เมื่อช้างสารสองเชือกปะทะกัน กระจงตัวน้อย (pelanduk) ต้องทนทุกข์มากที่สุด  ช้างสองตัวหมายถึงทหารสองกลุ่มก๊ก  ก๊กหนึ่งคือกลุ่มภายใต้สังกัดนายพล Sumitro Sastrodihardjo ผู้อำนวยการกองบัญชาการความมั่นคงของรัฐ (Pangkopkamtib) กับอีกก๊กหนึ่งประกอบด้วยกลุ่มนายพลที่ภักดีต่อซูฮาร์โตโดยตรง กล่าวคือ ASPRI (คณะที่ปรึกษาส่วนตัว) ซึ่งมีนายพล Ali Murtopo เป็นประธาน และมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลหน่วยข่าวกรองพิเศษ ทำให้เกิดความขัดแย้งกับหน่วยข่าวกรองภายใต้กองบัญชาการความมั่นคงของรัฐของนายพล Sumitro  ส่วนกระจงหมายถึงนักศึกษาและปัญญาชนที่ตกเป็นเหยื่อท่ามกลางการต่อสู้ที่พวกเขาไม่ได้เป็นคนเริ่มต้น

The diminutive Mousedeer. Photo by You Le on Unsplash

เห็นได้ชัดว่า แผนสมคบคิดถูกย้ายจากพรรค PSI ไปที่กลุ่มก๊กฝ่ายตรงข้ามในกองทัพ  การย้ายเป้าหมายเช่นนี้เป็นอุบายของซูฮาร์โตเพื่อกระชับอำนาจเหนือกองทัพและหน่วยข่าวกรองเพิ่มขึ้นหรือเปล่า?  กลุ่ม ASPRI ตกเป็นเป้าวิพากษ์วิจารณ์ในมหาวิทยาลัยในประเด็นขาดความโปร่งใสและการมีอำนาจดึงเอาเงินทุนจากรัฐและเอกชนหลายแห่ง  เพื่อลดกระแสวิพากษ์วิจารณ์นี้ ในปลายเดือนมกราคม 1974 ซูฮาร์โตจึงยุบกลุ่มนี้  นักศึกษาบางคนยังถูกดำเนินคดี แต่นักกิจกรรมและปัญญาชนในมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ไม่เคยถูกเรียกตัวขึ้นศาล  กระนั้นก็ตาม เรื่องเล่าแกนหลักเรื่องหนึ่งที่หยิบยกขึ้นมาระหว่างการดำเนินคดีก็คือ กลุ่ม ASPRI จงใจยั่วยุด้วยการปลุกระดมมวลชนให้ก่อจลาจลและเผาศูนย์การค้า Senen พร้อมกับกล่าวโทษ Hariman Siregar และนักศึกษามหาวิทยาลัยว่าเป็นตัวการ ทั้งที่กลุ่มนักศึกษาอยู่ห่างไปหลายไมล์จากศูนย์การค้าเมื่อตอนที่การจลาจลเกิดขึ้น

ปฏิบัติการลับของกองทัพประเภทนี้ถูกนำไปเสียดสีล้อเลียนอย่างเจ็บแสบใน Semar Gugat ซึ่งเป็นละครเรื่องเยี่ยมของ Nano Riantiarno เมื่อปี 1995  แต่มันก็กลายเป็นแม่แบบสำหรับกองทัพในการชักใยความปั่นป่วนด้วยการยุยงให้เกิดการจลาจลที่มีการทำลายข้าวของสิ่งก่อสร้างต่างๆ  โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นหลายครั้งในปี 1998 เพื่อหาทางขัดขวางการเคลื่อนไหวของนักศึกษาและแรงงานที่กำลังเรียกร้องให้ซูฮาร์โตลงจากอำนาจ  (พยานหลักฐานโดยตรงที่บ่งบอกถึงการชักใยจากทำเนียบรัฐบาลนั้น ข้าพเจ้าได้รับทราบมาจากภรรยาของผู้พิพากษาคนหนึ่งในการดำเนินคดีต่อ Sjahrir ซึ่งกล่าวว่า ทุกเช้าก่อนออกศาล คณะผู้พิพากษาจะถูกเรียกตัวไปที่ “Cendana” หรือทำเนียบของซูฮาร์โต เพื่อฟังคำสั่งจากเขาก่อน)

คำถามหนึ่งที่ยังค้างคาอยู่ก็คือ ทำไมพรรค PSI จึงถูกลบออกจากเรื่องเล่าเกี่ยวกับความปั่นป่วนวุ่นวายในช่วงทศวรรษ 1970?  เราต้องพิจารณาความเชื่อมโยงต่างๆ รอบตัวซูมิตโร โจโยฮาดีกูซูโม (Sumitro Djojohadikusumo, 1917-2001) คณบดีของคณะเศรษฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยอินโดนีเซีย และผู้ก่อตั้งกลุ่มเทคโนแครตที่ออกแบบนโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่ให้รัฐบาลยุคระเบียบใหม่ ซึ่งยกเลิกแผนการของซูการ์โนที่จะโอนการลงทุนจากต่างประเทศมาเป็นของชาติ โดยมีจุดเน้นเป็นพิเศษที่การถือครองที่ดินเพาะปลูกขนาดใหญ่ในยุคอาณานิคม

ซูมิตโร โจโยฮาดีกูซูโม เป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งในพรรค PSI  ซึ่งมีส่วนพัวพันในขบวนการ PRRI เพื่อแยกตัวจากซูการ์โน และต่อมาลี้ภัยไปต่างประเทศ  หลังจากซูการ์โนหมดอำนาจ เขากลับมาอินโดนีเซียในปี 1967 และกลายเป็นผู้มีอิทธิพลเบื้องหลังนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลยุคระเบียบใหม่ (Nasution, 1992; Subiyantoro, 2006)  กฎหมายฉบับแรกที่สมัชชาใหญ่เฉพาะกาลประกาศใช้ก็คือกฎหมาย Act No. 1, 1967 ว่าด้วยการลงทุนจากต่างประเทศ เป็นการล้มเลิกนโยบายของซูการ์โนที่ต้องการนำพาประเทศไปสู่ระบบเศรษฐกิจแห่งชาติ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากพรรค PKI  ในตอนนั้น สมัชชาใหญ่เฉพาะกาลคือผู้มีอำนาจสูงสุดในอินโดนีเซียและไม่มีพรรค PKI เป็นสมาชิกเลย  กฎหมายฉบับนี้คือการเปิดประเทศอินโดนีเซียให้แก่การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ  ญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกที่ฉวยความได้เปรียบจากการเปิดประเทศนี้ และเป็นตัวแทนของระบบทุนนิยมในการขูดรีดทรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรมนุษย์ของอินโดนีเซีย  ส่วนรายที่เข้าคิวตามมาก็คือบริษัท Freeport McMoran หนึ่งในบริษัทต่างชาติกลุ่มแรกที่ได้สิทธิ์สัมปทานแหล่งทองแดงและทองคำในปาปัวตะวันตก (Poulgrain, 1998)

Grasberg mine open pit. the largest gold mine and the third largest copper mine in the world. It is located in the province of Papua in Indonesia. Wikimedia Commons

การรวบอำนาจของกองทัพ ผนวกกับนโยบายเสรีนิยมใหม่ที่ใช้วิธีการซื้อตัวและบิดเบือนจิตวิญญาณของพายุที่เคยเป็นแรงบันดาลใจให้การ์ตินี ยังคงเป็นแม่แบบพื้นฐานที่ยอมรับกันสำหรับการปกครองในอินโดนีเซีย ทั้งยังคงใช้มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะยุคของนายพล (เกษียณ) ปราโบโว ซูบียันโต บุตรชายของซูมิตโร โจโยฮาดีกูซูโม ซึ่งมีทั้งการขยายและการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ของโครงการลงทุนระดับเมกะโปรเจกต์  และการรื้อฟื้นให้กองทัพอินโดนีเซียสามารถเข้ามาแทรกแซงรัฐบาลได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเริ่มต้นที่การแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับกองทัพอินโดนีเซียปี 2004 ซึ่งผ่านรัฐสภาออกมาในวันที่ 20 มีนาคม 2025 ทำให้เกิดการประท้วงจากนักศึกษาและปัญญาชนที่ต่อต้านการเปิดทางให้กองทัพมีบทบาทหน้าที่ควบคู่สองด้านดังเช่นในอดีตอีกครั้ง (Tempo.co. 2025)

สำหรับนักประวัติศาสตร์ ภาพเทวทูตแห่งประวัติศาสตร์ (Angelus Novus) ของวอลเตอร์ เบนจามิน (1969) (Walter Benjamin, 1892-1940) กลายเป็นภาพอุปมาสำหรับการไตร่ตรองถึงความเชื่อมโยงอันย้อนแย้งระหว่างหายนะกับความก้าวหน้า  ภาพของเทวทูตที่เหลียวมองไปข้างหลังขณะถูกพัดพาไปข้างหน้าด้วยกระแสลมแห่งการเปลี่ยนแปลงอันทรงพลัง เทวทูตจึงมองเห็นแต่ความพินาศที่ทิ้งไว้ตามหลัง  เป็นสัญญะบ่งบอกทั้งความประหวั่นพรั่นพรึงและความหวังของยุคสมัยขณะเมื่อสงครามจวนจะปะทุขึ้น  ในภาพอุปมานี้ พายุหรือความปั่นป่วนดูเหมือนนำไปสู่ทางตันที่ไปต่อไม่ได้

ถึงแม้จะสะท้อนความสิ้นหวังของเทวทูตอย่างเห็นได้ชัด แต่เบนจามินก็ยังมองห็นความหวังในสิ่งที่เขานิยามว่า “การจดจำอย่างมีวัตถุประสงค์”  นั่นคือ ปฏิบัติการต่อต้านพลังต่างๆ ที่ผลักเราไปสู่ความหลงลืม  บทความสั้นๆ ชิ้นนี้คือปฏิบัติการของการจดจำอย่างมีวัตถุประสงค์ เพื่อพบพานความหวังด้วยการรื้อฟื้นปากเสียงของการ์ตินีขึ้นมาและโอบรับพลังของความปั่นป่วนที่จะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลง

Sylvia Tiwon

Sylvia Tiwon เป็นประธานและรองศาสตราจารย์ของภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเบิร์กลีย์  เธอได้รับปริญญาเอกสาขาเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเบิร์กลีย์   ก่อนจบปริญญาเอก เธอจบการศึกษาภาคภาษาอังกฤษจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดและมหาวิทยาลัยแห่งอินโดนีเซีย  ประเด็นที่เธอสนใจคือ ผลกระทบซึ่งกันและกันระหว่างพลวัตทางสังคม การเมืองและวรรณกรรม โดยมุ่งเน้นที่การสื่อสารเชิงมุขปาฐะ วรรณกรรม และเพศภาวะศึกษา  ผลงานชิ้นสำคัญของเธอมีอาทิ  Breaking the Spell: Colonialism and Literary Renaissance (1999) และ Trajectories of Memory: Excavating the Past in Indonesia, co-edited with Melani Budianta (2023)  โครงการของเธอในปัจจุบันให้ความสนใจต่อประเด็นเชื้อชาติ สุนทรียศาสตร์เชิงวรรณกรรม และ abducted subjectivities ในอินโดนีเซีย

Notes –

[1] Cultivation System (1830-1870) กล่าวคือทุกหมู่บ้านจะต้องกันที่ดินเพาะปลูกหนึ่งในห้ามาปลูกพืชผลเพื่อการส่งออก พืชผลเหล่านี้จะต้องส่งมอบให้รัฐบาลแทนค่าเช่าที่ดิน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือระบบภาษีแบบหนึ่งที่เก็บจากเกษตรกรชาวพื้นเมือง ด้วยวิธีการนี้ทำให้เนเธอร์แลนด์รอดพ้นจากการล้มละลายและกลายเป็นประเทศที่มั่งคั่ง แต่ทำให้ชาวนาส่วนใหญ่ โดยเฉพาะบนเกาะชวา อดอยากยากแค้น นโยบายนี้จึงถูกชาวดัทช์วิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก  รัฐบาลดัทช์จึงเปลี่ยนมาใช้นโยบายเสรีนิยม ซึ่งมีแนวคิดหลักแบบตลาดเสรี ช่วงนี้จึงเรียกกันว่า Dutch Liberal Policy มีการยกเลิกระบบ Cultivation System ในหมู่เกาะอินเดียตะวันออก และเปิดทางให้ธุรกิจเอกชนของนายทุนชาวดัทช์เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์แทน 

References – 

Benjamin, Walter. 1969.  Illuminations.  New York: Schocken Books.
Kartini, R.A. 1912. Door Duisternis Tot Licht.  ‘S Gravenhave: Luctor et Emergo. 
Nasution, Adnan Buyung, 1992.  The Aspiration for Constitutional Government in Indonesia.  Jakarta: Pustaka Sinar Harapan.
Poulgrain, Greg. 1998.  The Genesis of Konfrontasi.  London: C. Hurst.
Riantiarno, N.  1995.  Semar Gugat.  Yogyakarta: Yayasan Bentang Budaya. 
Subiyantoro, Bambang, ed. 2006.  Negara Adalah Kita. Jakarta: Prakarsa Rakyat.
Suryakusuma, Julia. 1996.  “State and Sexuality in New Order Indonesia.”  in Laurie Sears, ed. Fantasizing the Feminine.  Durham: Duke University Press.
Tempo.co. 2025, https://www.tempo.co/cekfakta/keliru-klaim-bahwa-revisi-uu-tni-tidak-mengembalikan-dwifungsi-abri-1225197
Thee Kian Wie, 2007.  “In Memoriam Professor Sarbini Sumawinata, 1918-2007.”  Economics and Finance in Indonesia, Vol 55 (1).
Toer, Pramoedya Ananta. 1997.  Panggil Aku Kartini Saja.  Jakarta: Hasta Mitra.