ระหว่างซาตร์กับซูฮาร์โต: ผลร้ายโดยไม่เจตนาของปรัชญาอัตถิภาวนิยมในอินโดนีเซีย

Pancasila Sakti Monument, built to commemorate those who fought to defend the Republic of Indonesia, Pancasila, from the threat of communist ideology. Wikipedia Commons

เมื่อเยิร์จ ลูกาช (György Lukács, 1885-1971) นักปรัชญามาร์กซิสต์ชาวฮังการี ตีพิมพ์หนังสือชื่อ The Destruction of Reason (1952)  เขาวิพากษ์วิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนต่อปรัชญาภาคพื้นทวีปยุโรป (Continental Philosophy) ของศตวรรษที่ 20  โดยมุ่งโจมตีเป็นพิเศษต่อนักปรัชญาอย่าง เคียร์เกอกอร์ (Søren Kierkegaard, 1813-1855) ไฮเด็กเกอร์ (Martin Heidegger, 1889-1976) และยาสเปอร์ส (Karl Jaspers, 1883-1969) รวมทั้งนักคิดนักเขียนฝรั่งเศสที่เป็นคู่สำเนากัน อาทิ ซาตร์ (Jean-Paul Sartre, 1905-1980) และกามูส์ (Albert Camus, 1913-1960)  เขาขนานฉายาให้นักคิดเหล่านี้ว่า “ลัทธิอัตวิสัยนิยมปรสิต” (parasitical subjectivism)  ลูกาชสืบค้นต้นทางของนักคิดกลุ่มนี้ไปถึงวิกฤตการณ์ของความคิดกระฎุมพีชาวยุโรปในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดยมองว่ามันคือความล้มเหลวของแนวทางประชาธิปไตยเสรีนิยมและการก่อตัวของลัทธิจักรวรรดินิยม ซึ่งทุบทำลายความเชื่อความศรัทธาในเหตุผลของหมู่คณะ (collective reason)  ลูกาชสืบทอดจารีตแบบมาร์กซิสต์ในการวิพากษ์อุดมการณ์ โดยนิยามปรัชญาอัตถิภาวนิยมว่าเป็นอาการของความเสื่อมถอยทางอุดมการณ์ เป็นแนวคิดที่บูชาความขัดแย้งเชิงวัตถุ (material contradiction[1]) จนนำพาปัญญาชนไปตกในหลุมพรางของเอกัตินิยม[2] ความท้อแท้ทางอภิปรัชญา การสมคบคิดกับการเมืองฝ่ายปฏิกิริยา (ดังที่มีกรณีของไฮเด็กเกอร์เป็นหลักฐาน) และท้ายที่สุดคือการแยกตัวออกหากจากเงื่อนไขบังคับของการต่อสู้ทางชนชั้น

ลูกาชวินิจฉัยว่าปรัชญาอัตถิภาวนิยมเป็นการถดถอยกลับไปหาลัทธิปัจเจกนิยมนามธรรม (abstract individualism) และลัทธิเจตจำนงนิยมเชิงศีลธรรม (moral voluntarism) ซึ่งสอดคล้องต้องตรงอย่างยิ่งกับกรณีของอินโดนีเซีย  แนวคิดของลูกาชช่วยเป็นแว่นขยายในการทำความเข้าใจว่า การที่ปัญญาชนสังคมนิยมชาวอินโดนีเซียส่วนหนึ่งพยายามก้าวพ้นแนวคิดลิขิตนิยม (determinism) ของลัทธิมาร์กซ์ แต่กลับลงเอยด้วยการพาตัวเองไปเข้าข้างการอ้างเหตุผลให้แก่อุดมการณ์ของระบอบอำนาจนิยมเทคโนแครตภายใต้ยุคระเบียบใหม่ (New Order) เกิดขึ้นได้อย่างไร

การปะทะทางอุดมการณ์ระหว่างปรัชญาอัตถิภาวนิยมกับลัทธิมาร์กซ์มาถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อในอินโดนีเซียในช่วงทศวรรษแรกของการได้รับเอกราช (1945-ทศวรรษ 1960)  การปะทะกันนี้คลี่คลายไปท่ามกลางฉากหลังของสงครามเย็นเชิงวัฒนธรรมที่เป็นปรากฏการณ์ระดับโลก  บริบทดังกล่าวนี้ได้รับการบันทึกมากขึ้นในงานวิชาการระยะหลัง (Herlambang 2013)  ศูนย์กลางของการต่อสู้คือกลุ่มปัญญาชนที่สังกัดองค์กร Congress for Cultural Freedom (CCF) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากซีไอเอ  อันประกอบด้วยบุคคลที่มีชื่อเสียงอาทิ Soedjatmoko, Mochtar Lubis และ Goenawan Mohamad ซึ่งมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าภูมิทัศน์เชิงวัฒนธรรมของอินโดนีเซียให้สอดคล้องกับแนวทางเสรีนิยมสากลภายหลังการสังหารหมู่ต่อต้านคอมมิวนิสต์ในช่วงปี 1965-1966  ภายในกรอบคิดนี้ ปรัชญาอัตถิภาวนิยมมีความสอดคล้องเชิงยุทธศาสตร์กับแนวทางเสรีนิยมต่อต้านคอมมิวนิสต์ของ CCF  สะท้อนให้เห็นฉันทามติข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกที่จัดวางให้คุณค่าแบบมนุษยนิยม “สากล” เป็นปฏิปักษ์กับแนวคิดวัตถุนิยมของลัทธิมาร์กซ์ (Saunders 1999: 78)

Indonesian Communist Party’s Emblem. It was the largest non-ruling communist party in the world before its violent disbandment in 1965.

แฟชั่นทางปัญญานี้เป็นที่นิยมในช่วงทศวรรษ 1950 ในแวดวงวรรณกรรมอินโดนีเซีย โดยเฉพาะในหมู่คนที่เรียกกันว่า “คนรุ่น 1945” (Angkatan’45) ซึ่งเกิดมาจากเถ้าถ่านของการปฏิวัติ  หัวใจสำคัญของปรัชญาสำนักนี้ก็คือ ความสิ้นหวังต่อโลกอย่างเห็นได้ชัด  นักเขียนอย่าง Chairil Anwar, Sitor Situmorang และ Iwan Simatupang จากกลุ่ม Gelanggang ต่างหมกมุ่นอยู่กับแก่นเรื่องเกี่ยวกับความไร้สาระของโลก  และแนวคิดที่ Keith Foulcher (2015: 163) นักวิจารณ์วรรณกรรม นิยามว่า “ความไร้ความหมายของการดำรงอยู่” กล่าวคือ น้ำเสียงเบื่อหน่ายโลกที่สะท้อนอาการตาสว่างหลังการปฏิวัติ  กระแสนิยมในความหมดอาลัยตายอยากและความท้อแท้สิ้นหวังนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างแหลมคมจากฝ่ายซ้าย   Boejoeng Saleh (1954) ปัญญาชนของกลุ่ม Lekra[3] เย้ยหยันกระแสนิยมนี้โดยตั้งชื่อว่า “ลัทธิกามูส์นิยม” (Camusianisme) เหยียดหยามว่ามันไม่มีอะไรมากไปกว่าความท้อแท้แบบกระฎุมพีที่สวมหน้ากากเสแสร้งเป็นความสิ้นหวังต่อโลกในเชิงปรัชญา  นักเขียนกลุ่ม Gelanggang มีแนวคิดใกล้เคียงกับสมาชิกคนสำคัญของพรรคสังคมนิยมอินโดนีเซีย (Indonesian Socialist Party–PSI) ซึ่งในภายหลังกลายเป็นผู้อุปถัมภ์นักเขียนกลุ่มนี้

พรรค PSI เป็นมากกว่าที่พักพิงสำหรับกลุ่ม Gelanggang  ในช่วงทศวรรษ 1950 พรรคเปรียบเสมือนบ้านคุ้มหัวทางการเมืองให้แก่สมาชิกคนสำคัญหลายคนของกลุ่มผ่านช่องทางสื่ออย่าง Siasat และ Konfrontasi และสโมสรในเครือเดียวกัน เช่น Studieclub   Konfrontasi โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วารสาร Siasat  ผู้ก่อตั้งคือ Soedjatmoko และ Rosihan Anwar ซึ่งได้รับการอุปถัมภ์จาก Sjahrir[4] ในช่วงที่ญี่ปุ่นเข้ามายึดครองประเทศ (1942-1945) และต่อมากลายเป็นสมาชิกพรรค PSI   พรรค PSI เกิดมาจากความแตกแยกภายในพรรคสังคมนิยม (Socialist Party–PS) ในปี 1948  โดยมี Sutan Sjahrir นายกรัฐมนตรีคนแรกของอินโดนีเซีย เป็นประธานพรรค พรรค PSI สร้างอัตลักษณ์แบบสังคมนิยมประชาธิปไตยที่แตกต่างจากแนวทางสังคมนิยมปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซีย (Indonesian Communist Party–PKI)  พรรค PKI ก่อตั้งในปี 1920 และถูกกวาดล้างปราบปรามจนกลายเป็นองค์กรใต้ดินหลังจากความล้มเหลวในการก่อกบฏปี 1926  จนกลับมาเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยอีกครั้งระหว่างการปฏิวัติและมีสถานะมั่นคงจากการแยกตัวออกมาจากพรรค PS  ในทางตรงกันข้าม พรรค PSI กลายเป็นที่รวมตัวของปัญญาชนจากแนวคิดหลากหลายกว้างขวาง กระทั่งบางครั้งก็ขัดแย้งกันเอง มีตั้งแต่แนวคิดลัทธิมาร์กซ์แบบไม่เอาโซเวียต (ซึ่งมีตั้งแต่แนวคิดแบบเอดูอาร์ด แบร์นชไตน์[5] ไปจนถึงลัทธิสังคมนิยมตลาดแบบยูโกสลาเวีย[6])  ลัทธิเฟเบียนแบบอังกฤษ[7] ไปจนถึงทฤษฎีสร้างความทันสมัยแบบอเมริกัน แนวคิด lebensphilosophie ทั้งสายฝรั่งเศสและเยอรมัน[8] มีกระทั่งแนวคิดเสรีนิยมชนชั้นสูงของนักคิดอย่าง Jacob Burckhardt (สวิส, 1818-1897) และ Ortega y Gasset (สเปน, 1883-1955)

PKI meeting in Batavia (now Jakarta), 1925

เรื่องที่ไม่ค่อยรู้กันก็คือ ปัญญาชนกลุ่มนี้ที่ในเวลาต่อมารวมตัวกันเป็นแกนหลักของพรรค PSI น่าจะเป็นคนกลุ่มแรกที่นำเอาแนวคิดปรัชญาอัตถิภาวนิยมเข้ามาในอินโดนีเซียระหว่างการปฏิวัติ  รัฐบาลสาธารณรัฐภายใต้นายกรัฐมนตรี Sjahrir ตีพิมพ์วารสารภาษาดัทช์ชื่อ Het Inzicht (Insight) โดยเป็นส่วนหนึ่งในความพยายามที่จะเผยแพร่โฆษณาความคิดตามแนวทางของรัฐบาล  หลังจากเปิดตัววารสารได้ไม่นาน Soedjatmoko และ Soedarpo Sastrosatomo ก็เข้ามาเป็นกองบรรณาธิการ  ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์และเดือนมีนาคม 1947 วารสารฉบับนี้ตีพิมพ์ชุดบทความเกี่ยวกับปรัชญาอัตถิภาวนิยมเป็นภาษาดัทช์ต่อเนื่องกันสามบทความ นับได้ว่าเป็นครั้งแรกที่มีการแนะนำแนวคิดนี้ให้ชาวอินโดนีเซียได้รู้จักอย่างเป็นระบบ  ไม่กี่เดือนต่อมา Pembangunan วารสารรายสัปดาห์ที่มี Sutan Takdir Alisjahbana เป็นบรรณาธิการและเป็นผู้จงรักภักดีต่อพรรค PSI ด้วย ออกมาเป็นฉบับสุดท้าย ก็มีการตีพิมพ์บทความชื่อ “Existentialism and Surrealism” ในภาษาอินโดนีเซีย  บทความจากสื่อทั้งสองสำนักมุ่งแนะนำแนวคิดเบื้องต้นของปรัชญาสำนักนี้ ระบุบอกชื่อนักคิดคนสำคัญ และผลสะเทือนที่มีต่อการศึกษาด้านมนุษยศาสตร์ รวมทั้งต่อศิลปะและวรรณกรรม[i]  เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลายปีก่อนที่จะมีการศึกษาเชิงวิชาการจริงๆ ออกมา อาทิ Drijarkara’s Percikan Filsafat (Philosophical Reflections, 1962) ซึ่งตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ PT Pembangunan ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์ของ Soedjatmoko หรืองานเขียนของ Fuad Hassan ชื่อ Berkenalan dengan Eksistensialisme (Introduction to Existentialism, 1971)  ซึ่งเขียนแนะนำปรัชญาสำนักนี้อย่างละเอียด

ประเด็นสำคัญคือ มันมีความแตกต่างจากน้ำเสียงสิ้นหวังต่อโลกของกลุ่ม Gelanggang ก่อนหน้านี้  ปัญญาชนสังกัดพรรค PSI กลุ่มหลังนำเสนอมุมมองต่อปรัชญาอัตถิภาวนิยมที่เป็นเรื่องเป็นราว เน้นภาคปฏิบัติและมองโลกในแง่ดีกว่า โดยจงใจแยกทางจากแนวคิดต้นทางสายยุโรปที่มักท้อแท้สิ้นหวัง  อันที่จริง ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจว่าทำไมปรัชญาอัตถิภาวนิยมจึงค้นพบสาวกในหมู่ปัญญาชนพรรค PSI  แนวคิดที่เน้นย้ำในความจริงแท้และตระหนักรับรู้ต่อ “ที่นี่และเดี๋ยวนี้” หนุนเสริมให้พวกเขาหันมาสนใจต่อความท้าทายในปัจจุบันที่เป็นรูปธรรมมากกว่าภาพสังคมอุดมคติที่ยิ่งใหญ่แต่ยังอยู่ห่างไกล โดยเฉพาะเมื่อพรรคการเมืองทุกพรรคในอินโดนีเซียต่างก็ชูคำขวัญสังคมนิยมกันทั้งนั้น (รวมทั้งพรรค PSI เองด้วย)  แนวคิดหลักของปรัชญาสำนักนี้ที่บอกว่า ปัจเจกชนมีเสรีภาพในการเลือก แม้กระทั่งในสถานการณ์คับขัน เท่ากับเน้นย้ำความสำคัญของผู้กระทำการและความรับผิดชอบ โดยไม่ถูกจำกัดกรอบจากแนวคิดแบบจุดหมายปลายทางเป็นใหญ่ ซึ่งถูกกำหนดล่วงหน้าจากอุดมการณ์มวลชนดังเช่นลัทธิชาตินิยมโรแมนติกหรือลัทธิมาร์กซ์  ซึ่งพรรคพยายามโละทิ้งจากรากฐานเดิมที่มีมาตั้งแต่การประชุมใหญ่ของพรรค PSI เมื่อปี 1952

คนที่ได้รับอิทธิพลจากกลุ่มนักคิดอัตถิภาวนิยมมากที่สุดน่าจะเป็น Soedjatmoko ปัญญาชนพรรค PSI  ความลุ่มหลงอย่างลึกซึ้งในปรัชญาสำนักนี้กำหนดมุมมองที่เขามีต่อความท้าทายของอินโดนีเซียหลังยุคอาณานิคม  ระหว่างการปฏิวัติ Rosihan Anwar (1999: 210-12) นักหนังสือพิมพ์ เล่าความหลังให้ฟังว่า Soedjatmoko วิเคราะห์หนังสือ Being and Nothingness (1943) ของซาตร์อย่างสุดจิตสุดใจ เขาน่าจะได้หนังสือเล่มนี้มาจากคนรู้จักชาวต่างชาติระหว่างการยึดครองของญี่ปุ่น  แนวคิดที่มีอิทธิพลต่อความคิดของเขาอย่างยิ่งได้แก่ มโนทัศน์ “facticity” (facticité) ของซาตร์[9]  “thrownness” (Geworfenheit) ของไฮเด็กเกอร์[10] และ “limit-situation” (Grenzsituation) ของยาสเปอร์ส[11]  เขาไม่เคยอ้างถึงมโนทัศน์เหล่านี้ออกมาตรงๆ ก็จริง แต่มันเป็นรากฐานของวิธีวิเคราะห์ของเขาอย่างแน่นอน  สำหรับ Soedjatmoko การปฏิวัติปี 1945 เป็น “limit-situation” ของอินโดนีเซียยุคสมัยใหม่  มันเป็นรอยแยกทางประวัติศาสตร์ที่เป็นจุดกำเนิดของความเป็นจริงทางวัฒนธรรม การเมืองและเศรษฐกิจของชาติ  เขานิยามอินโดนีเซียว่าเป็นสังคมที่ถูก “โยน” (thrown) เข้าสู่เบ้าหลอมของการปฏิวัติและความขาดแคลนหลังการปฏิวัติ ทำให้เงื่อนไขของการดำรงอยู่ต้องเปลี่ยนโฉมหน้ากลายเป็นการสร้างชาติบนพิมพ์เขียวของลัทธิการพัฒนาที่มุ่งเน้นการปฏิบัติเพื่อความสำเร็จเพียงอย่างเดียว  อย่างไรก็ตาม Soedjatmoko ปฏิเสธการมองโลกอย่างสิ้นหวัง ซึ่งมักเป็นลักษณะเด่นของงานเขียนสำนักอัตถิภาวนิยม โดยเขากำหนดนิยามใหม่ว่า “การถอยกลับไปหาตัวตน” (“retreat to the self”) ของปรัชญาสำนักนี้ เป็นการเรียกร้องการปรับสร้างพันธกิจของปัจเจกชนให้สอดคล้องกลมกลืนกับการแสวงหาความก้าวหน้าทางสังคม[ii]

An official portrait of Soedjatmoko (1922-1989) an indonesian intellectual, diplomat, and politician. Wikipedia Commons

พอถึงช่วงทศวรรษ  1950 ภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรมของอินโดนีเซีย ซึ่งได้รับอิทธิพลจากความเปลี่ยนแปลงภายในและสงครามเย็น เริ่มตกอยู่ในวังวนของการถกเถียงวิวาทะกันเกี่ยวกับบทบาทของวัฒนธรรมในสังคมหลังการปฏิวัติ  ศิลปินกลุ่ม Gelanggang และพรรค PSI เข้าข้างฝ่ายกระแสเสรีนิยมต่อต้านคอมมิวนิสต์ และมองว่าวัฒนธรรมเป็นแค่ส่วนเสริมของการสร้างความทันสมัยแบบทุนนิยมหรือเป็นปฏิบัติการที่ไม่เกี่ยวกับการเมือง ในขณะที่กลุ่ม Lekra โอบรับศิลปะในฐานะเครื่องมือเพื่อการปลุกจิตสำนึกมวลชน ซึ่งสะท้อนรับกับแนวคิดสัจสังคมนิยมแนวทางโซเวียต  ในการสัมมนาทางประวัติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย Gadjah Mada เมื่อปี 1957 อันเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความไม่สงบในภูมิภาคต่างๆ และซูการ์โนกำลังเสนอให้ก่อตั้งสมัชชาแห่งชาติ ซึ่งคนจำนวนมากมองว่าเป็นการเปิดศักราชของยุค “ประชาธิปไตยแบบชี้นำ” (Guided Democracy)  Soedjatmoko ได้นำเสนอเอกสารหลักร่วมสัมมนาชื่อ “Merintis Hari Depan” (Building the Future) (Soedjatmoko 1958) ซึ่งเสนอวิสัยทัศน์สำหรับการค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ที่ข้ามพ้นทั้งแนวทางแบบลัทธิชาตินิยมโรแมนติกและวัตถุนิยมประวัติศาสตร์แบบมาร์กซิสต์  โดยอ้างหนังสือ Reflection of History ของนักคิดเสรีนิยม Jacob Burckhardt เพื่อโต้แย้งกับลัทธิชาตินิยมโรแมนติก และอ้างหนังสือ Oriental Despotism ของอดีตคอมมิวนิสต์ Karl August Wittfogel (1896-1988) เพื่อโต้แย้งกับลัทธิมาร์กซ์  เขาอาศัยแนวคิดของยาสเปอร์สจากหนังสือ On the Origin and Goal of History (1949) เพื่อชี้ให้เห็นมโนทัศน์ว่าด้วย “Totalwurf der Geschichte” กล่าวคือกรอบใหญ่ในการทำความเข้าใจประวัติศาสตร์โลก ซึ่งยาสเปอร์สใช้เป็นข้อวิพากษ์ต่อการนำเอาประวัติศาสตร์มาเป็นเครื่องมือเพื่อเป้าหมายทางการเมือง  นี่คือมุมมองที่เป็นรากฐานให้เขาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องเล่าแม่บทแบบลิขิตนิยมและเป็นเหตุเป็นผลต่อการที่เขาเรียกร้องให้แนววิธีศึกษาของประวัติศาสตร์นิพนธ์อินโดนีเซียมีปลายเปิดมากขึ้น

เราอาจเปรียบเทียบข้อวิพากษ์ของ Soedjatmoko ที่มีต่อประวัติศาสตร์นิพนธ์แบบ “ลิขิตนิยม” กับข้อวิจารณ์ที่คาร์ล ปอบเปอร์ (Karl Popper, 1902-1994) มีต่อ “ลัทธิประวัติศาสตร์นิยม” (historicism) ใน The Poverty of Historicism (1944) และ The Open Society and Its Enemies (1945) ซึ่งมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อเค้าโครงความคิดของลัทธิเสรีนิยมยุคสงครามเย็น  ทั้งสองแนวคิดเหมือนกันตรงที่เป็นการปฏิเสธแนวคิดสังคมอุดมคติที่ขับเคลื่อนด้วยอุดมการณ์ ซึ่งอ้างว่าสามารถคาดทำนายหรือกำหนดผลลัพธ์ทางประวัติศาสตร์ได้  นักคิดทั้งสองต่างพยายามรื้อทลายแนวความคิดเกี่ยวกับชะตากรรมทางประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่  ซึ่งปอบเปอร์มองว่าความคิดแบบนี้นำไปสู่ลัทธิเผด็จการเบ็ดเสร็จแบบไม่มีทางหลีกเลี่ยง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายขวาก็ตาม  กระนั้นก็ตาม  ถึงแม้แนวคิดแบบปอบเปอร์จะเสแสร้งเหมือนต่อต้านอุดมการณ์ แต่โวหารว่าด้วยหลักปฏิบัตินิยม ซึ่งเปลือกนอกชวนให้คล้อยตามด้วยการอ้างถึงความจริงแท้และความรับผิดชอบ สุดท้ายแล้วก็กลายเป็นอุดมการณ์รูปแบบหนึ่งนั่นเอง

ในปี 1968 สองปีหลังจากซูการ์โนสิ้นอำนาจและมีการสังหารหมู่ฝ่ายซ้ายอินโดนีเซีย Soedjatmoko (1968: 1-5) ซึ่งตอนนั้นเพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นเอกอัครราชทูตคนใหม่ประจำสหรัฐอเมริกา ได้แสดงปาฐกถาต่อที่ประชุมหอการค้าแซนแฟรนซิสโก นับเป็นถ้อยความที่สรุปการเปลี่ยนจุดยืนได้ดี  เขากล่าวสรรเสริญระบอบการปกครองยุคระเบียบใหม่ของซูฮาร์โตว่า “ยึดมั่นในการปกครองตามรัฐธรรมนูญ  มีมุมมองต่อโลกที่ตั้งอยู่บนความเป็นจริง และมีนโยบายเศรษฐกิจที่สมเหตุสมผลและปฏิบัติได้จริง”  เขาหยิบยกความเปรียบเปรยอย่างน่าสะดุดใจระหว่างการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ การยกเลิกเงินอุดหนุนของรัฐ และการโอบรับกลไกตลาดเสรีของระบอบใหม่นี้กับ “ความฮึกเหิมของการปฏิวัติปี 1945”  ลัทธิปฏิบัตินิยมต่อต้านอุดมการณ์ที่ Soedjatmoko และพรรค PSI สนับสนุนสุดตัวในช่วงทศวรรษ 1950 กลายเป็นอุดมการณ์ครอบงำของยุคระเบียบใหม่ในอินโดนีเซียโดยไม่ได้ตั้งใจ  โดยปรับวัตถุประสงค์ใหม่ให้สร้างความชอบธรรมแก่ลัทธิการพัฒนาแบบอำนาจนิยมด้วยโวหารของ “การรื้อปลดอุดมการณ์”  สิ่งที่ตอนเริ่มต้นเป็นจุดยืนทางปรัชญาต่อต้านเรื่องเล่าแม่บททางประวัติศาสตร์ ลงท้ายกลับกลายเป็นเครื่องมือให้แก่การรวบอำนาจ เผยให้เห็นความย้อนแย้งของวาทกรรมที่พยายามก้าวข้ามอุดมการณ์ แต่ในขณะเดียวกันก็แปลงร่างกลายเป็นอุดมการณ์เสียเองในที่สุด

Suharto is appointed President of Indonesia at a ceremony in March 1968.

การที่ลูกาชโจมตีปรัชญาอัตถิภาวนิยมว่าเป็น “ลัทธิอัตวิสัยปรสิต” กล่าวคือเป็นการถอยห่างจากการต่อสู้ของหมู่คณะไปหมกมุ่นอยู่กับลัทธิปัจเจกนิยมกระฎุมพี เราจะพบกับภาพตรงข้ามที่น่าขันในกรณีของอินโดนีเซีย  บุคคลอย่าง Soedjatmoko และคนอื่นๆ ปรับวัตถุประสงค์ของปรัชญานี้เสียใหม่ให้มุ่งเน้นการเป็นผู้กระทำการและความจริงแท้ ไม่ใช่ผู้ยอมแพ้ต่อความท้อแท้สิ้นหวัง แต่เป็นหลักปฏิบัติสำหรับเผชิญหน้ากับความยากลำบากในยุคหลังการปฏิวัติ  ภายใต้ซูฮาร์โต มรดกความคิดนี้กลายพันธุ์ไปอีก นั่นคือ มันกลายเป็นลัทธิปฏิบัตินิยมที่ได้รับแรงบันดาลใจจากปรัชญาอัตถิภาวนิยมของพรรค PSI โละแก่นกลางที่เป็นมนุษยนิยมทิ้ง แล้วกลายเป็นแค่เครื่องมือให้ลัทธิพัฒนาอำนาจนิยม ให้ความสำคัญลำดับต้นแก่ความเป็นเทคโนแครตเหนือกว่าการมีส่วนร่วมตามกระบวนการประชาธิปไตย  กระนั้นก็ตาม ข้อวิพากษ์ของลูกาชก็ยังดังมาก่อนกาลอย่างน่าเศร้า แม้ว่าพรรค PSI จะใฝ่ฝันถึงการปลดแอก แต่สุดท้ายแล้วโครงการของพรรคก็กลวงเปล่าไร้จินตนาการทางการเมือง ปล่อยให้ระบอบเผด็จการอำนาจนิยมฉกฉวยเอาลัทธิปฏิบัตินิยมที่ “ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง” ไปใช้เป็นอาวุธพร้อมกับกดปราบผู้เห็นต่าง  เมื่อมองในแง่มุมนี้ จะเห็นว่าปรัชญาอัตถิภาวนิยมขาดความหนักแน่นและเฉไฉได้ง่าย สาเหตุหลักมาจากการที่ปรัชญาสำนักนี้หนีห่างจากแนวคิดวัตถุนิยม เผยให้เห็นว่ามันถูกครอบงำและเอาไปใช้เป็นเครื่องมือได้ง่าย  เป็นตัวอย่างที่ทำให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่า จุดยืนต่อต้านอุดมการณ์บนเส้นทางหลังยุคอาณานิคมของซีกโลกใต้กลายเป็นเนื้อดินให้โครงสร้างอำนาจมาหยั่งรากฝังลึก ทั้งที่ซีกโลกใต้เคยพยายามจะก้าวข้ามให้พ้นจากโครงสร้างอำนาจนี้

Windu Jusuf
Windu Jusuf is a PhD Candidate at the Leiden Institute for Area Studies (LIAS), Leiden University. His research lies at the intersection of political theory and intellectual history, with a focus on the historical entanglements of liberalism and socialism in Indonesia.

Notes –

[1] หมายถึงกระบวนการทางวัตถุบางอย่างที่สร้างและทำลายตัวมันเอง เช่น ไฟที่ลุกไหม้และเผาผลาญเชื้อเพลิงจนดับเอง หรือระบบทุนนิยมที่มีแนวโน้มภายในที่จะทำลายตัวเองลงในที่สุด

[2] Solipsism แนวคิดว่า ตัวตน (self) เท่านั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์รู้ได้อย่างแน่นอนว่าดำรงอยู่จริง

[3] ชื่อย่อของ  Lembaga Kebudajaan Rakjat (สถาบันวัฒนธรรมของประชาชน) เป็นขบวนการด้านวัฒนธรรมและสังคมที่มีความเชื่อมโยงกับพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซีย  ก่อตั้งขึ้นในปี 1950 Lekra เรียกร้องให้ศิลปิน นักเขียนและครู ยึดมั่นในหลักการของสัจสังคมนิยม (socialist realism) ในภายหลัง Lekra ถูกปราบปรามและถูกสั่งห้ามพร้อมกับพรรคคอมมิวนิสต์

[4] Sutan Sjahrir (1909-1966) นักการเมืองและผู้นำการปฏิวัติเพื่อเอกราชของอินโดนีเซีย  เป็นผู้จัดตั้งขบวนการชาตินิยมคนสำคัญในช่วงทศวรรษ 1930 และ 1940 และเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอินโดนีเซีย (1945-1947) ภายใต้ประธานาธิบดีซูการ์โน รวมทั้งเป็นผู้ก่อตั้งพรรค PSI ในปี 1948

[5] Eduard Bernstein (1850-1932) นักการเมืองชาวเยอรมัน สมาชิกพรรค Social Democratic Party of Germany (SPD) เป็นบุคคลที่มีอิทธิพลอย่างสำคัญในขบวนการสังคมนิยมประชาธิปไตยของเยอรมนี และถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากจากฝ่ายซ้ายว่าเป็น “ลัทธิแก้” กล่าวคือสนับสนุนการปฏิรูปมากกว่าการปฏิวัติ

[6] หมายถึงแนวทางบริหารเศรษฐกิจของประเทศยูโกสลาเวียตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองจนกระทั่งทศวรรษ 1990  แนวทางนี้ผสมผสานกลไกตลาดกับการวางแผนของรัฐ เน้นการบริหารจัดการตัวเองของแรงงาน และการตัดสินใจแบบกระจายอำนาจ แนวทางนี้ทำให้เศรษฐกิจของยูโกสลาเวียเติบโตและมีความทันสมัยในช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนจะประสบปัญหาทั้งภายในภายนอกจนประเทศแตกสลายลง

[7] หมายถึง Fabian Society องค์กรในอังกฤษที่มีแนวคิดสนับสนุนแนวทางสังคมนิยมประชาธิปไตย แต่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการปฏิวัติ โดยสนับสนุนแนวทางการปฏิรูปอย่างค่อยเป็นค่อยไปภายใต้ระบอบประชาธิปไตยมากกว่า

[8] หมายถึงขบวนการทางปรัชญาที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศที่พูดภาษาเยอรมันในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20  จุดโฟกัสหลักของปรัชญาสำนักนี้คือการแสวงหาความหมาย คุณค่า และวัตถุประสงค์ของชีวิต  นักปรัชญาสำคัญมีอาทิ Henri Bergson (ฝรั่งเศส 1859-1941) Arthur Schopenhauer (เยอรมัน 1788-1860) Friedrich Nietzsche (เยอรมัน 1844-1900)

[9] facticity ตามแนวคิดของ Jean-Paul Sartre หมายถึง รายละเอียดเชิงรูปธรรมทุกอย่างที่แวดล้อมการดำรงอยู่ของมนุษย์  รายละเอียดเหล่านี้เป็นทั้งภูมิหลังให้แก่เสรีภาพของมนุษย์ พร้อมกันนั้นก็เป็นข้อจำกัดบางอย่างต่อเสรีภาพนั้นด้วย ยกตัวอย่างเช่น ภูมิหลังของเวลาและสถานที่ที่คนคนหนึ่งถือกำเนิด ภาษา สิ่งแวดล้อม ฯลฯ ถ้าคนคนหนึ่งเกิดมาไม่มีขา ก็เท่ากับเขาถูกกีดกันจากเสรีภาพในการเดิน แต่ถ้าเขาเกิดมาในสังคมที่มีการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งประดิษฐ์ขาเทียมให้เขาได้ เขาก็มีเสรีภาพที่จะทำกิจกรรมการเดิน ในขณะที่คนที่เกิดมาในประเทศด้อยพัฒนาก็จะถูกกีดกันจากเสรีภาพการเดินไปตลอด

[10] แนวคิดทางปรัชญาของ Martin Heidegger ที่อธิบายว่า การดำรงอยู่ในฐานะปัจเจกบุคคลของมนุษย์เป็นการถูก “โยน” เข้ามาในโลก เช่น คนคนหนึ่งเกิดมาในสภาพแวดล้อมของครอบครัว วัฒนธรรม และสังคมที่เขาไม่ได้เป็นคนเลือกแต่แรก ซึ่งทำให้เขาต้องพบกับความคับข้องใจ ความทุกข์ และข้อเรียกร้องต่างๆ จนบางครั้งนำไปสู่ความแปลกแยก

[11] หมายถึงสภาพการณ์บางอย่างที่ทำให้มนุษย์มีประสบการณ์แตกต่างไปจากสภาพการณ์ปรกติ ตามแนวคิดของ Karl Jaspers สภาพการณ์แบบ limit-situation ประกอบด้วย ความตื่นตระหนก ความรู้สึกผิด ความตาย ความทุกข์ ฯลฯ สภาพการณ์เช่นนี้ทำให้ปัจเจกบุคคลต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่ตนเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องตาย เผชิญกับความไร้สาระของชีวิต และทางแพร่งของศีลธรรม อันอาจนำไปสู่การตื่นรู้ของจิตสำนึก กระตุ้นให้คนคนนั้นสำนึกในเสรีภาพ การเลือกและความหมายของชีวิต รวมทั้งย้อนทบทวนค่านิยมและคุณค่าในชีวิตของตน ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภายในของบุคคลคนนั้นได้

[i] D. v. D. “Notities uit Nederland: Existentialisme I” in Het Inzicht, 26 February 1947, pp. 11-12; “Notities uit Nederland: Het Existentialisme II,” Het Inzicht, 5 March 1947, pp. 11-12; “Notities uit Nederland: Het Existentialisme III, “ Het Inzicht, 12 March 1947, pp. 9-10 ; Existentialisme dan Surrealisme dalam Pembangunan, 15 July 1947, 172-173. The Inzicht articles were in Dutch and published as a three-part letter under anonymous byline of “D. v. D.”

[ii] Siasat, 17 May 1953, p. 20.

References –

Anwar, R. 1999. Quartet: Pertemuan dengan empat sahabatku, Jakarta: Yayasan Soedjatmoko.
Foulcher, K. (Ed.). 2015. Indonesian Notebook: A Sourcebook on Richard Wright and the Bandung Conference. New York: Duke University Press.
Herlambang, W. 2013. Kekerasan budaya pasca-1965. Jakarta: Marjin Kiri.
Lukács, G. 1980 [1962]. The Destruction of Reason. London: Merlin Press, pp. 489–522.
Saleh, B. 2004 [1954]. Kewajiban yang tak boleh ditunda. In M. Nursam (Ed.), Krisis daya cipta Indonesia (p. 32). Jakarta: Ombak. (Originally published in Siasat, 29 August 1954).
Saunders, F. S. 1999. The cultural cold war: The CIA and the world of arts and letters. New York: The New Press.
Soedjatmoko. 1958. Merintis hari depan. In Seminar Sedjarah: Yogyakarta. Jakarta.
Soedjatmoko. 1968. Indonesia and the Security of Southeast Asia. San Francisco: Consulate Republic of Indonesia.