
วันที่ 20 ตุลาคม 2024 ปราโบโว ซูบียันโตปฏิญาณตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่แปดของอินโดนีเซีย หลังจากได้คะแนนเสียงมากกว่า 58% ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2024[1] ความสำคัญของการเลือกตั้งครั้งนี้อยู่ที่กลุ่มแนวร่วมทางการเมืองต่างๆ แปลงร่างกลายเป็นการฮั้วกันทางการเมือง ซึ่งเท่ากับนำพาอินโดนีเซียไปสู่เส้นทางของการมีฝ่ายค้านที่อ่อนแอ กระทั่งกลายเป็น “ประชาธิปไตยไร้ฝ่ายค้าน”
แนวร่วมพรรคการเมืองเหล่านี้มักจับกลุ่มกันเพราะหวังผลเชิงปฏิบัติมากกว่าอุดมการณ์ และขับเคลื่อนด้วยข้อตกลงการจัดสรรแบ่งปันอำนาจในหมู่ชนชั้นนำทางการเมือง ยิ่งผ่านมาหลายปีก็ยิ่งขยายกลายเป็นการฮั้วกันทางการเมืองเพื่อช่วงชิงอำนาจ[2] ผลลัพธ์สุดท้ายของแนววิธีนี้ก็คือ พรรคการเมืองเพิกเฉยต่อแรงจูงใจเริ่มแรกที่จะปรับปรุงระบบเลือกตั้งของอินโดนีเซียให้มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นและวางรากฐานให้เกิดการตรวจสอบและถ่วงดุลที่มีอิสระ แทนที่จะทำเช่นนั้น กลับหันไปส่งเสริมเครือข่ายอุปถัมภ์และลดทอนการแข่งขันในการเลือกตั้ง
ถึงแม้การจับกลุ่มเป็นแนวร่วมทางการเมืองช่วยอำนวยความสะดวกในการบริหารประเทศ แต่การแปรสภาพเป็นกลุ่มฮั้วทางการเมืองเป็นการบ่อนเซาะความสุจริตและเป็นธรรมของการเลือกตั้งในหลายทางด้วยกัน การรวมหัวจับมือกันในหมู่พรรคการเมืองพรรคใหญ่ แทนที่จะแข่งขันกัน นำไปสู่ผลการเลือกตั้งที่กำหนดไว้แล้วล่วงหน้า[3] ในอินโดนีเซีย ผลประโยชน์ของชนชั้นนำมักมีความสำคัญเป็นอันดับต้นมากกว่ากระบวนการประชาธิปไตยที่แท้จริง ส่งผลให้เกิดภาวะชะงักงันในด้านนโยบายและโครงสร้างการเลือกตั้งที่อ่อนแอลง ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปและการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่มีความหมาย[4] มันกลายเป็นการให้ท้ายวงจรอุบาทว์ทางการเมือง จนไม่ใช่เรื่องผิดปรกติในอินโดนีเซียที่ผู้สมัครแข่งขันในการเลือกตั้งจะกลับลำหนุนหลังคู่แข่งของตนทันทีที่วาระดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสิ้นสุดลง
การแปรสภาพแนวร่วมในการเลือกตั้งกลายเป็นการฮั้วทางการเมืองถือเป็นปัญหาท้าทายครั้งใหญ่ต่อคุณภาพของการเลือกตั้งแบบหลายพรรค มันจำกัดโอกาสของการมีผู้สมัครรับเลือกตั้งที่หลากหลาย และทำให้อำนาจทางการเมืองกระจุกตัวภายในตระกูลชนชั้นนำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันทำให้นโยบายทางการเมืองเหมือนกันไปหมด และปิดกั้นโอกาสของผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งจากการมีผู้แทนที่มีจุดยืนแตกต่างกันและทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลอย่างอิสระ

เส้นทางวิวัฒนาการมาสู่การเลือกตั้งประธานาธิบดีทางตรง
อินโดนีเซียเริ่มเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตยในปี 1998 หลังจากซูฮาร์โต ประธานาธิบดีและเผด็จการในสมัยนั้น ลาออก
ประเด็นสำคัญที่ควรสนใจก็คือ ก่อนการปฏิรูประบอบประชาธิปไตย ตำแหน่งประธานาธิบดีมาจากการคัดสรรของสภาที่ปรึกษาประชาชน (People’s Consultative Assembly—หรือสภา MPR) ซึ่งทำหน้าที่เป็นสภานิติบัญญัติ สภา MPR ในสมัยซูฮาร์โตประกอบด้วยสมาชิกสภาจากการเลือกตั้งที่มาจากพรรคการเมืองสามพรรค “ที่ได้รับการอนุมัติ” และสมาชิกสภาจากการแต่งตั้ง ซึ่งมาจากกองทัพและตัวแทนของภูมิภาค
บาคารุดดิน ยูซุฟ ฮาบีบี (เบ. เจ. ฮาบีบี) ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีในรัฐบาลซูฮาร์โต เข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีหลังจากซูฮาร์โตลาออกในปี 1998 ในฐานะประธานาธิบดี ฮาบีบีริเริ่มการปฏิรูปในเรื่องสำคัญหลายประการ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อให้มีการเปิดกว้างและการกระจายอำนาจทางการเมือง จุดที่ควรสนใจคือ เขาผ่านกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมือง (Law on Political Parties) ในปี 1999[5] ซึ่งอนุญาตให้พรรคการเมืองมีจำนวนเพิ่มขึ้น ในขณะที่สมัยซูฮาร์โตปกครองนั้น ถูกจำกัดให้มีได้แค่สามพรรค
ถึงแม้เบ. เจ. ฮาบีบีเลือกไม่ลงแข่งขันในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 1999 ส่วนหนึ่งเพราะแรงกดดันจากพรรคของตนเอง[6] แต่การเลือกตั้งครั้งนั้นก็สะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญไปสู่ประชาธิปไตยแบบหลายพรรค ภายใต้กฎหมายว่าด้วยพรรคการเมืองฉบับใหม่ มีพรรคการเมืองถึง 48 พรรคส่งผู้สมัครลงแข่งขันในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนประชาชน (People’s Representative Council—สภา DPR) [7] ซึ่งเป็นสภาล่างของสภาที่ปรึกษาประชาชน
เมกาวาตี ซูการ์โนปูตรี ลูกสาวคนโตของซูการ์โน ประธานาธิบดีคนแรกของอินโดนีเซีย เป็นผู้นำพรรคประชาธิปไตยอินโดนีเซีย-การต่อสู้ (Democratic Party of Struggle—พรรค PDI-P) ชนะคะแนนเสียงมากที่สุด แต่ไม่ได้เสียงข้างมากในสภา สภาพการณ์นี้ทำให้เกิดเพทุบายทางการเมืองขนานใหญ่ในสภานิติบัญญัติ โดยพรรค Golkar ซึ่งเป็นอดีตพรรครัฐบาล สามารถก่อตั้งแนวร่วมพรรคการเมืองในชื่อ “Central Axis” เพื่อสกัดขวางการเสนอตัวเป็นประธานาธิบดีของเมกาวาตี ผลลัพธ์ก็คือ อับดูร์ระฮ์มัน วาฮิด (กุส ดูร์) [8] ได้เป็นประธานาธิบดี โดยเมกาวาตีเป็นรองประธานาธิบดี ยุทธศาสตร์การขัดขวางคู่แข่งแบบนี้กลายเป็นแบบแผนในการเมืองอินโดนีเซีย ซึ่งพรรคการเมืองให้ความสำคัญต่อการสร้างพันธมิตรเพื่อแบ่งปันจัดสรรอำนาจมากกว่าการยึดมั่นในอุดมการณ์เพื่อประชาธิปไตย
กุส ดูร์เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ได้รับเลือกตั้งอย่างเสรีจากรัฐสภาอินโดนีเซีย ดำรงตำแหน่งได้สองปี ในสมัยที่เขาเป็นประธานาธิบดี สภานิติบัญญัติได้วางรากฐานการปฏิรูปส่งเสริมประชาธิปไตยหลายประการ ทั้งรับรองสถานะปกครองตัวเองของภูมิภาคต่างๆ ในอินโดนีเซีย และจัดให้มีการเลือกตั้งผู้นำของภูมิภาคโดยตรง นอกจากนี้ยังจำกัดอำนาจการออกกฎเกณฑ์ของประธานาธิบดีและห้ามมิให้ยุบสภา[9] โดยรวมแล้ว กุส ดูร์มีเสียงข้างมากที่เข้มแข็งในรัฐสภา สะท้อนให้เห็นจาก “คณะรัฐมนตรีเอกภาพแห่งชาติ” ของเขา ซึ่งในช่วงท้ายของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีนั้น สามารถรวบรวมพรรคการเมืองต่างๆ ที่มีจำนวนสมาชิกจากการเลือกตั้งถึง 436 คนจาก 462 คนในสภา DPR[10]
อย่างไรก็ตาม ความนิยมของกุส ดูร์เสื่อมถอยลง สืบเนื่องจากข้อกล่าวหายักยอกกองทุนของรัฐบาล ทำให้เขาถูกถอดถอนจากตำแหน่งในวันที่ 23 กรกฎาคม 2001[11] การถอดถอนครั้งนี้ได้รับแรงกระตุ้นจากความบกพร่องในการสร้างความสัมพันธ์และการแบ่งปันจัดสรรอำนาจระหว่างพรรครัฐบาลต่างๆ ด้วย โดยเฉพาะจากความพยายามของตัวกุส ดูร์เองที่จะรวบอำนาจ จนทำให้หุ้นส่วนทางการเมืองที่เป็นกุญแจสำคัญเอาใจออกหาก[12]
หลังจากการถอดถอน สภา MPR ก็เลือกเมกาวาตี ซูการ์โนปูตรีขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ตั้งแต่ปี 2001-2004 พรรคต่างๆ ที่เป็นสมาชิกแนวร่วมรับประกันว่าเมกาวาตีจะไม่ถูกถอดถอน เธอจึงยินยอมให้พรรคเดิมๆ ส่วนใหญ่ที่เคยสนับสนุนกุส ดูร์เข้าร่วมรัฐบาล คณะรัฐมนตรีในสมัยของเธอมีชื่อเรียกว่า “คณะรัฐมนตรีช่วยเหลือเกื้อกูลกัน” (Mutual Assistance Cabinet) [13] ในสมัยที่เธอเป็นประธานาธิบดี มีการผ่านกฎหมายปฏิรูปการเมืองเพิ่มเติมอีกชุดหนึ่ง[14] อาทิ กลไกเพื่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีทางตรง โควตาในสภา MPR สำหรับกองทัพและตัวแทนอื่นๆ ที่มาจากการแต่งตั้งก็ถูกยกเลิกด้วย[15]
ประเด็นปัญหาเดิมที่เคยเป็นเนื้อร้ายทำลายแนวร่วมสมัยกุส ดูร์ กล่าวคือ การประนีประนอมและการแบ่งปันจัดสรรอำนาจระหว่างพรรคต่างๆ ที่ไม่เพียงพอ บ่มเพาะให้เกิดความเป็นปฏิปักษ์ต่อเมกาวาตีและพรรค PDI-P ความไม่พอใจนี้ส่งผลให้พรรค Democratic Party เสนอชื่อซูซีโล บัมบัง ยูโดโยโน (มักเรียกกันว่า SBY) ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งปี 2004 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีทางตรง[16]

การฮั้วการเลือกตั้งฝังรากยิ่งขึ้น
ในปี 2004 ยูโดโยโน นายพลเกษียณจากพรรค Democratic Party ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี หลังจากได้รับชัยชนะแล้ว ประธานาธิบดียูโดโยโนจัดตั้ง “คณะรัฐมนตรีเอกภาพอินโดนีเซีย” (Kabinet Indonesia Bersatu) ซึ่งมีหน้าตาของแนวร่วมส่วนใหญ่คล้ายๆ ที่เห็นกันมาภายใต้ประธานาธิบดีสามคนก่อน คณะรัฐมนตรีของยูโดโยโนประกอบด้วยพรรคการเมืองต่างๆ ที่มีผู้แทนในสภา 403 ที่นั่งจาก 560 ที่นั่ง[17]
หลังจากความพ่ายแพ้ของเมกาวาตี พรรค PDI-P กลายเป็นพรรคฝ่ายค้านแกนหลักในการเมืองของสภานิติบัญญัติ อย่างไรก็ตาม ความหมายของ “ฝ่ายค้าน” จะค่อยๆ เจือจางลงในการเลือกตั้งครั้งต่อๆ มา ยกตัวอย่างเช่น องค์ประกอบของคณะรัฐมนตรีที่มีพรรคใหญ่เก่าแก่ครอบงำ เช่น พรรค Golkar, พรรคNational Mandate Party (PAN) และพรรค Prosperous Justice Party (PKS) ทำให้บทบาทของฝ่ายค้านมีประสิทธิภาพในขอบเขตจำกัด โดยเฉพาะการกีดกันพรรค PDI-P ไม่ให้มีอิทธิพลสำคัญใดๆ สภาพการณ์เช่นนี้เท่ากับลดทอนทางเลือกของผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งนอกแนวร่วมที่เป็นฝ่ายรัฐบาล ขัดขวางการแข่งขันทางการเมืองที่มีความหมาย และจำกัดพื้นที่ของพรรคเล็กพรรคน้อยในการท้าทายอิทธิพลของแนวร่วมฝ่ายรัฐบาล
ในการเลือกตั้งครั้งต่อมา แนวโน้มเกิดขึ้นคล้ายกัน ในการเลือกตั้งปี 2009 ยูโดโยโน ซึ่งเป็นประธานาธิบดีในขณะนั้นและพรรค Democratic Party ของเขาชนะการเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง ถึงแม้พรรคของเขาไม่ได้เสียงข้างมากเด็ดขาด แต่ก็ได้ที่นั่งมากที่สุด ทำให้การมีการตั้งคณะรัฐมนตรีชุดที่สองของยูโดโยโนเกิดขึ้นทันที ส่วนใหญ่ก็มาจากพรรคการเมืองเดิมๆ พรรค PDI-P ยังเป็นฝ่ายค้านร่วมกับพรรค Gerindra ซึ่งเป็นพรรคตั้งใหม่ก่อนการเลือกตั้งเพื่อแข่งขันกับยูโดโยโน คณะรัฐมนตรีชุดที่สองของยูโดโยโนในชื่อ “คณะรัฐมนตรีเอกภาพอินโดนีเซียชุดที่สอง” ประกอบด้วยแนวร่วมที่มีผู้แทนในสภา DPR 342 ที่นั่ง[18] ยุทธศาสตร์การจับมือเป็นแนวร่วมแบบนี้ทำให้ประธานาธิบดียูโดโยโนสามารถสร้างความเข้มแข็งให้ตำแหน่งของเขาเป็นวาระที่สอง รวมทั้งตอกย้ำแนวโน้มของพรรคการเมืองอินโดนีเซียที่ให้ความสำคัญอันดับแรกแก่การเป็นพันธมิตรเพื่อบรรลุผลเชิงปฏิบัติในการแบ่งปันจัดสรรอำนาจและได้เป็นรัฐบาลต่อ พร้อมกับบั่นทอนฝ่ายค้านทางการเมืองให้อ่อนแอลง
หลังจากพยายามชิงตำแหน่งจากยูโดโยโนในการเลือกตั้งครั้งถัดมาไม่สำเร็จเป็นครั้งที่สอง เมกาวาตีก็หันเหความสนใจไปรับบทบาทผู้ผลักดันกำหนดตัวประมุขของรัฐแทน ด้วยการสนับสนุนผู้สมัครจากพรรคของเธอซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ประชาชน นั่นคือ โจโก วีโดโด (มักเรียกกันว่า โจโกวี) ในการเลือกตั้งปี 2014 โจโกวีเอาชนะปราโบโว ซูบียันโตจากพรรค Gerindra ซึ่งเป็นลูกเขยของอดีตประธานาธิบดีซูฮาร์โต และก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนต่อมา[19]
ภายหลังการเลือกตั้ง โจโกวีต้องเผชิญปัญหาท้าทายในการจัดตั้งแนวร่วมพรรคการเมืองเพื่อเป็นรัฐบาล สืบเนื่องจากภูมิทัศน์ในรัฐสภาที่มีความแตกแยก อย่างไรก็ตาม โจโกวีและพรรค PDI-P สามารถชักชวนพรรคขนาดกลางถึงพรรคขนาดเล็กมาร่วมได้จำนวนหนึ่ง ทิ้งให้พรรค Democratic Party ของยูโดโยโน พรรค Gerindra และพรรค Golkar ซึ่งได้ที่นั่งในสภาเป็นจำนวนมากกลายเป็นฝ่ายค้าน ต่อมาด้วยกลยุทธ์การปรับคณะรัฐมนตรี โจโกวีสามารถดึงพรรค Golkar เข้ามาร่วมรัฐบาล และตัดพรรค National Mandate Party (PAN) ที่ไม่ค่อยให้ความร่วมมือออกไป ในช่วงท้ายวาระแรกของโจโกวี “คณะรัฐมนตรีนักทำงาน” ของเขามาจากพรรคต่างๆ ที่มีผู้แทนในสภา DPR 386 ที่นั่งจาก 560 ที่นั่ง[20] นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่สะท้อนถึงยุทธศาสตร์ในการสกัดกั้นมิให้ฝ่ายค้านมีบทบาทและอิทธิพลที่กระทบกระเทือนต่อรัฐบาล
การเลือกตั้งของอินโดนีเซียในปี 2019 ส่งผลให้รัฐบาลของประธานาธิบดีโจโกวีได้ไปต่อ การเลือกตั้งครั้งนี้มีจุดเด่นที่จำนวนพรรคที่เข้ามาแข่งขันในการเลือกตั้ง นั่นคือ มีถึง 16 พรรคที่เข้าร่วมในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีและมากกว่า 200 พรรคในการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติ[21] หลังจากการเลือกตั้งผ่านพ้น เกิดแนวร่วมพรรคโยงใยกันอย่างซับซ้อน ค่ายใหญ่ของโจโกวีในชื่อ “คณะรัฐมนตรีอินโดนีเซียก้าวหน้า” ประกอบด้วยพรรคใหญ่เกือบทั้งหมดจนกลายเป็นแนวร่วมเสียงข้างมาก กระทั่งเมื่อวาระการดำรงตำแหน่งครั้งที่สองของโจโกวีสิ้นสุดลงนั้น พรรครัฐบาลของเขามีตัวแทนรวมกันถึง 525 ที่นั่งจาก 575 ที่นั่งในสภา DPR[22] นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่มีการใช้กลยุทธ์กดให้สมาชิกฝ่ายค้านมีจำนวนน้อย ข้อน่าสังเกตคือ ในวาระที่สองของโจโกวี เขาสามารถดึงพรรคฝ่ายค้านมาเข้าร่วมกับฝ่ายตนโดยอาศัยคำมั่นสัญญาว่าจะแบ่งปันจัดสรรอำนาจทางการเมืองให้ อาทิ พรรค Gerindra ของปราโบโว ทั้งที่ปราโบโวเคยเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนสำคัญของโจโกวีในการเลือกตั้งปี 2014 และ 2019[23] โจโกวีแต่งตั้งปราโบโวเป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมหลังจากเขาฟอร์มทีมบริหารสมัยที่สอง[24] ในช่วงท้ายของการเป็นรัฐบาล โจโกวีเปลี่ยนรัฐมนตรีออกสองคนที่เขามองว่าไม่จงรักภักดีต่อตัวเขาและต่อปราโบโวที่ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนถัดมา[25]
ในภาพรวมนั้น การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสองสมัยของโจโกวีมีจุดเด่นที่ความเสื่อมถอยของเสียงฝ่ายค้านในการเมือง วิธีการฮั้วทางการเมืองเพื่อสร้างหลักประกันให้มีเสียงข้างมากในสภานิติบัญญัติได้มาด้วยต้นทุนของการลิดรอนให้ฝ่ายค้านอ่อนแอลงและลดทอนบทบาท การให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกต่อการมีอำนาจเหนือสภานิติบัญญัติเพื่อออกกฎหมายที่จะผลักดันนโยบายต่างๆ ในขณะเดียวกันก็ลดทอนความสามารถของฝ่ายค้านที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบและถ่วงดุลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเท่ากับสูญเสียแก่นสารสำคัญของระบอบประชาธิปไตยแบบหลายพรรคไป[26]

การเลือกตั้งปี 2024 และการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของปราโบโว
หลังจากพยายามไม่สำเร็จสองครั้ง ในที่สุดปราโบโวก็ชนะเลือกตั้งได้ตำแหน่งประธานาธิบดีอินโดนีเซียในการเลือกตั้งปี 2024 โดยชนะคะแนนเสียงในสัดส่วน 58% เข้ารับตำแหน่งต่อจากโจโกวี ซึ่งไม่สามารถลงแข่งขันในการเลือกตั้งได้เพราะข้อจำกัดเรื่องวาระการดำรงตำแหน่ง
การเลือกตั้งปี 2024 เป็นตัวอย่างที่ผู้แข่งขันกลายเป็นผู้สนับสนุน หลังจากสามารถตกลงให้ลูกชายคนโตของตน กิบรัน รากาบูมิง รากา ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นรองประธานาธิบดีคู่กับปราโบโวได้แล้ว ประธานาธิบดีโจโกวีก็ใช้ความได้เปรียบจากตำแหน่งของเขาสนับสนุนการชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีของปราโบโว ซึ่งเรื่องนี้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้ปราโบโวชนะการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตาม ชัยชนะของปราโบโวได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการเชือนแชออกจากเส้นทางไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่เคยมีอยู่ตั้งแต่การปฏิรูปหลังปี 1998 การเลือกตั้งสะท้อนแนวโน้มของการสร้างฐานอำนาจทางการเมืองที่ยิ่งขยายตัวมากขึ้น มันเป็นสภาพการณ์ที่ตัวบุคคลผู้ทรงอำนาจสามารถชี้นำปั้นแต่งผลการเลือกตั้งผ่านการจับมือเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ ในเดือนตุลาคม 2024 ประธานาธิบดีปราโบโวได้เชื้อเชิญพรรคการเมืองทุกพรรคที่มีผู้แทนในสภา DPR ยกเว้นพรรค PDI-P ของเมกาวาตี พรรค National Democrats (NasDem) และพรรค Prosperous Justice Party (PKS) มาเข้าร่วมกับ “คณะรัฐมนตรีแดงขาว” ของเขา[27] นี่หมายความว่า ประธานาธิบดีปราโบโวมีเสียงข้างมาก 348 เสียงจากจำนวนผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้ง 580 เสียงในสภา DPR[28] กระนั้นก็ตาม ปราโบโวก็เสนอให้พรรค PDI-P มาเข้าร่วมแนวร่วมทางการเมืองของเขาด้วย[29] ถึงแม้ปฏิเสธไม่เข้าร่วมก็ตาม แต่พรรค PDI-P ก็ตกลงที่จะสนับสนุนการพิจารณางบประมาณประจำปีของรัฐบาลที่กำลังจะเข้าสภา[30] ในทำนองเดียวกัน แม้พรรคเหล่านี้ไม่ได้เข้าเป็นสมาชิกในแนวร่วม แต่ทั้งพรรค NasDem และพรรค PKS ก็แสดงออกว่าจะ “สนับสนุนเต็มที่” ต่อรัฐบาลปราโบโวเช่นกัน[31]
สภาพการณ์เช่นนี้เท่ากับทำให้อินโดนีเซียกลายเป็น “ระบอบประชาธิปไตยไร้ฝ่ายค้าน”
พัฒนาการดังกล่าวข้างต้นส่งสัญญาณบ่งบอกถึงการเซาะกร่อนการปกครองแบบประชาธิปไตยอย่างลึกซึ้ง ถ้าหากไม่มีการตั้งคำถาม รัฐบาลของปราโบโวก็เตรียมพร้อมที่จะเปิดประตูเข้าสู่ยุคสมัยที่ระบบพหุนิยมทางการเมืองอ่อนแอลง และความรับผิดรับชอบลดน้อยถอยลง โดยเฉพาะหากฝ่ายค้านถูกลดความสำคัญลงจริงๆ ในกระบวนการนิติบัญญัติ ความเปลี่ยนแปลงที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า การแข่งขันทางการเมืองในอนาคตของอินโดนีเซียอาจถดถอยหดแคบลงยิ่งขึ้น โดยมีกลุ่มพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์คอยกีดกันสกัดกั้นการตรวจสอบและถ่วงดุลอย่างมีอิสระ

สรุป
ในอินโดนีเซีย การที่แนวร่วมพรรคการเมืองวิวัฒนาการกลายเป็นการฮั้วกัน ทำให้การแข่งขันทางการเมืองมีความหมายเจือจางลง สร้างแรงผลักให้ฝ่ายค้านอ่อนแอลง จนตกอยู่ในภาวะหัวเลี้ยวหัวต่อไปสู่สภาพของ “ระบอบประชาธิปไตยไร้ฝ่ายค้าน”
ในระบอบประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้ง การจับมือเป็นแนวร่วมและพันธมิตรทางการเมืองเป็นเรื่องที่ปฏิบัติกันทั่วไป การปฏิบัติเช่นนี้เอื้อให้พรรคการเมืองต่างๆ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีอุดมการณ์สอดคล้องใกล้เคียงกันในระดับหนึ่ง สามารถร่วมมือและบรรลุเป้าหมายที่มีร่วมกันได้ อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ต้นทศวรรษ 2000 เป็นต้นมา แนวร่วมพรรคการเมืองในอินโดนีเซียมักเกาะกลุ่มกันระหว่างพรรคที่เคยแข่งขันกันเองอย่างเข้มข้นดุเดือด
พันธมิตรเหล่านี้ ซึ่งสามารถเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มฮั้วทางการเมือง ให้ความสำคัญสูงสุดกับการจัดการแบ่งปันอำนาจภายหลังการเลือกตั้ง โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การจัดสรรอำนาจรัฐและทรัพยากรระหว่างพรรคการเมืองที่เป็นคู่อริกันหลากหลายขั้ว และมักไม่มียุทธศาสตร์หรือแนวคิดต้องตรงกันทางการเมืองเป็นจุดเชื่อมแต่อย่างใด[32] เช่นเดียวกันกับการฮั้วทางเศรษฐกิจ พันธมิตรการเมืองเหล่านี้มีขึ้นเพื่อสร้างอำนาจให้เป็นปึกแผ่นและลดทอนการแข่งขันลงนั่นเอง
ในภูมิทัศน์ทางการเมืองซึ่งปราศจากฝ่ายค้านที่มีประสิทธิภาพ จะทำให้เกิดความเสี่ยงมากขึ้นที่อาจมีการบังคับใช้กฎหมายและกฎเกณฑ์ใหม่ๆ เพื่อปิดปากกลุ่มคนที่อยากให้รัฐบาลมีความรับผิดรับชอบต่อสาธารณชน กลุ่มคนที่อาจถูกคุกคามได้แก่นักการเมือง นักเคลื่อนไหวภาคประชาสังคม และสื่อมวลชน ที่ออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของการมีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตยและความโปร่งใสในอินโดนีเซีย[33] เมื่อรัฐบาลของปราโบโวเข้ากุมบังเหียนการปกครองประเทศ สภาพแวดล้อมที่มีการกดขี่ปราบปรามมากขึ้นอาจตั้งเค้าอยู่ข้างหน้า ท้าทายวิสัยทัศน์ที่เรียกร้องการปฏิรูปทางการเมืองที่มีความหมายและการมีส่วนร่วมของพลเมือง
Kartini Sunityo, Asia Centre
NOTES
[1] The Jakarta Post (2024) ‘BREAKING: KPU confirms Prabowo’s landslide win’, The Jakarta Post, at: https://www.thejakartapost.com/indonesia/2024/03/20/breaking-kpu-confirms-prabowos-landslide-win.html.
[2] Ibid.
[3] Burhanuddin Muhtadi (2022) ‘Indonesia’s Cabinet reshuffle: Rewarding loyalty and consolidating power’, Fulcrum, at: https://fulcrum.sg/indonesias-cabinet-reshuffle-rewarding-loyalty-and-consolidating-power.
[4] Thomas Pepinsky (2024) ‘Indonesia’s election reveals its democratic challenges’, Brookings Institute, at: https://www.brookings.edu/articles/indonesias-election-reveals-its-democratic-challenges.
[5] “Law of Republic of Indonesia No.2 of the Year 1999 Concerning Political Parties” (1999), in Collection of Electoral Laws, Jakarta, Indonesia: National Election Commission, 1–20, at: https://aceproject.org/ero-en/regions/asia/ID/Indonesia%20Electoral%20Law%201999.pdf.
[6] Taipei Times (1999) ‘Habibie’s speech doesn’t go over well with assembly’, Taipei Times, at: https://www.taipeitimes.com/News/front/archives/1999/10/16/0000006629; Geoff Spencer (1999) ‘Indonesia’s Habibie withdraws’, AP News via Way Back Machine, at: https://web.archive.org/web/20201129140803/https://apnews.com/article/219ba3630e874ce89b1f270942cd9f56
[7] National Democratic Institute (1999) ‘The 1999 Presidential Election and Post-election Developments in Indonesia: A Post-Election Assessment Report’, The Cater Center, at: https://www.cartercenter.org/resources/pdfs/news/peace_publications/election_reports/indonesia-mission-1999.pdf.
[8] กุส ดูร์ เป็นสมาชิกคนสำคัญของขบวนการ Reformasi และเป็นผู้ก่อตั้งพรรค Partai Kebangkitan Bangsa (PKB) หรือ National Awakening Party ซึ่งเป็นพรรคอิสลามสายกลาง
[9] Ari Welianto (2020) ‘Amandemen UUD 1945: Tujuan dan Perubahannya [Amendment to the 1945 Constitution: Aims and Changes]’, Kompas, at: https://www.kompas.com/skola/read/2020/02/06/140000869/amandemen-uud-1945-tujuan-dan-perubahannya?page=all.
[10] Yuri Sato et al. (eds.) (2000) ‘Appendix’, in Indonesia Entering a New Era, Spot Survey No. 17, Institute of Developing Economies, Japan External Trade Organisation, at: https://www.ide.go.jp/English/Publish/Reports/Spot/17.html; R. William Liddle (2001) ‘Indonesia in 2000: A Shaky Start for Democracy’, Asian Survey 41(1): 208 – 220, at: https://library.fes.de/libalt/journals/swetsfulltext/14218780.PDF;
[11] Kornelius Purba (2021) ‘Impeaching Gus Dur, a blind but visionary president’, The Jakarta Post, at: https://www.thejakartapost.com/academia/2021/07/29/impeaching-gus-dur-a-blind-but-visionary-president.html
[12] Irman G. Lanti (2002) ‘Indonesia: The Year of Continuing Turbulence’, Southeast Asian Affairs: 111–129, at:https://www.jstor.org/stable/27913204.
[13] Dan Slater (2018) ‘Party Cartelisation, Indonesian-style: Presidential Power-sharing and the Contingency of Democratic Opposition’, Journal of East Asian Studies 18(1): 23–46, at: doi:10.1017/jea.2017.26.
[14] Iswara N. Raditya (2020) ‘Amandemen UUD 1945 Tahun 2002: Sejarah Isi & Perubahan Keempat [Amendment to the 1945 Constitution of 2002: History & Fourth Amendment]’, Tirto.id, at: https://tirto.id/amandemen-uud-1945-tahun-2002-sejarah-isi-perubahan-keempat-ejLE.
[15] VOA News (2009) ‘Indonesia agrees to remove police, army parliamentary seats – 2002-08-14’, VOA News, at: https://www.voanews.com/a/a-13-a-2002-08-14-31-indonesia-67435947/384410.html.
[16] Alan Sipress (2004) ‘President head for defeat in Indonesia vote’, Washington Press, at: https://www.washingtonpost.com/archive/politics/2004/09/21/president-heads-for-defeat-in-indonesia-vote/0fff35f9-fbd0-4675-9b5a-0cbbf8d55eb9.
[17] Willy Wahyu Astuti (2024) ‘The President’s Prerogative Rights in Appointing Ministers in the Presidential Government System After the Amendment to the 1945 Constitution’, International Journal of Multicultural and Multireligious Understanding 11(6): 129–140, at: https://ijmmu.com/index.php/ijmmu/article/view/5813.
[18] Andreas Ufen (2010) ‘The Legislative and Presidential Elections in Indonesia in 2009’, Electoral Studies 29(2): 281–285, at: https://doi.org/10.1016/j.electstud.2010.02.003; Willy Wahyu Astuti (2024) ‘The President’s Prerogative Rights in Appointing Ministers’.
[19] KPU (2014) ‘Hasil Penghitungan Perolehan Suara dari Setiap Provinsi dan Luar Negeri dalam Pemilu Presiden dan Wakil Presiden Tahun 2014 diisi Berdasarkan Formulir Model DC PPWP dan Sertifikat Luar Neger [Vote Counting Results from each Province and Overseas in the 2014 Presidential and Vice Presidential Elections Filled in Based on the Model DC PPWP Forms and Overseas Certificates]’, KPU, at: https://www.kpu.go.id/koleksigambar/PPWP_-_Nasional_Rekapitulasi_2014_-_New_-_Final_2014_07_22.pdf.
[20] Sigit Joyowardono (2014) ‘Buku Data dan Infografik Pemilu Anggota DPR RI & DPD RI 2014 [Data Book and Infographics for the 2014 DPR RI & DPD RI Elections]’, Jakarta, Indonesia: KPU; McLarty Associates (2019) ‘McLarty Indonesia Update: Jokowi announces new Cabinet’, McLarty Associates, at: https://maglobal.com/jokowi-new-cabinet; Francis Chan (2018) ‘Indonesian president Jokowi reshuffles Cabinet, appoints Golkar sec-gen, former military chief’, The Straits Times, at: https://www.straitstimes.com/asia/se-asia/indonesian-president-jokowi-reshuffles-cabinet-appoints-golkar-sec-gen-and-former.
[21] Ben Bland (2019) ‘Politics in Indonesia: Resilient elections, defective democracy’, Lowy Institute, at: https://www.lowyinstitute.org/publications/politics-indonesia-resilient-elections-defective-democracy; Muhammad Bahrul Ulum (2020) ‘Indonesian Democracy and Political Parties Afte Twenty Years of Reformation: A Contextual Analysis’, Indonesia Law Review 10(1), at: DOI: 10.15742/ilrev.v10n1.577.
[22] James Massola (2019) ‘From enemies to allies in six short months: Jokowi to invite Prabowo into cabinet’, The Sydney Morning Herald, at: https://www.smh.com.au/world/asia/from-enemies-to-allies-in-six-short-months-jokowi-to-invite-prabowo-into-cabinet-20191022-p532vf.html; Metro TV (2024) ‘Membaca maksud Jokowi tarik Demokrat ke Kabinet’, Metro TV, at: https://www.metrotvnews.com/play/NgxCVrRG-membaca-maksud-jokowi-tarik-demokrat-ke-kabinet.
[23] Muhtadi (2022) ‘Indonesia’s Cabinet reshuffle’.
[24] Marchio Irfan Gorbiano (2019) ‘Jokowi officially asks Gerindra to join new Cabinet: Prabowo’, The Jakarta Post, at: https://www.thejakartapost.com/news/2019/10/21/gerindras-prabowo-ready-to-contribute-to-jokowis-cabinet.html; Aljazeera (2019) ‘Indonesia’s Widodo appoints archrival as defence minister’, Aljazeera, at: https://www.aljazeera.com/news/2019/10/23/indonesias-widodo-appoints-archrival-as-defence-minister.
[25] The Nation Thailand (2024) ‘President Jokowi removes PDI-P ministers in reshuffle two months before exit’, The Nation Thailand, at: https://www.nationthailand.com/news/asean/40040722.
[26] Bland (2019) ‘Politics in Indonesia’.
[27] Kennedy Muslim and Burhanuddin Muhtadi (2024) ‘President Prabowo’s politics of accommodation might mean a short honeymoon’, Fulcrum, at: https://fulcrum.sg/president-prabowos-politics-of-accommodation-might-mean-a-short-honeymoon.
[28] KPU (2024) ‘Decision of KPU No. 1043 of 2024’, KPU, at: https://jdih.kpu.go.id/data/data_kepkpu/2024kpt1043.pdf.
[29] Stanley Widianto (2024) ‘Prabowo gets support from PDI-P, but no coalition deal yet’, The Jakarta Post, at: https://www.thejakartapost.com/indonesia/2024/10/17/prabowo-gets-support-from-pdi-p-but-no-coalition-deal-yet.html.
[30] Yustinus Patris Paat (2024) ‘Don’t be so quick to judge: PDI-P on Prabowo’s giant cabinet’, JakartaGlobe.id, at: https://jakartaglobe.id/news/dont-be-so-quick-to-judge-pdip-on-prabowos-giant-cabinet.
[31] Wiji Nur Hayat (2024) ‘NasDem pilih tak masuk ke Kabinet Prabowo, ini alasan lengkapnya [NasDem chose not to enter Prabowo’s Cabinet, this is the complete reason]’, CNBC Indonesia, at: https://www.cnbcindonesia.com/news/20241014141220-4-579419/nasdem-pilih-tak-masuk-ke-kabinet-prabowo-ini-alasan-lengkapnya; PKS (2024) ‘PKS sampaikan dukungan penuh kepada Presiden terpilih Prabowo Subianto [PKS conveys its full support to President-elect Prabowo Subianto]’, PKS, at: https://pks.id/content/pks-sampaikan-dukungan-penuh-kepada-presiden-terpilih-prabowo-subianto.
[32] Lestari (2016) ‘Cartel Party’.
[33] Aljazeera (2024) ‘Protests across Indonesia as parliament delays change to election law’, Aljazeera, at: https://www.aljazeera.com/gallery/2024/8/22/protests-across-indonesia-as-parliament-delays-change-to-election-law.