ชาวเวียดนามเริ่มมีแนวคิดที่มุ่งเน้นการตลาดในด้านอสังหาริมทรัพย์และมาตรฐานการครองชีพ ย่านฝูไหมเฮิงและเถาเดี๋ยน ซึ่งพัฒนาขึ้นมาบนที่ดินเกษตรรกร้าง เป็นที่นิยมของชาวต่างชาติในนครโฮจิมินห์ การพัฒนาย่านที่อยู่อาศัยเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า ชาวต่างชาติเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีดำเนินชีวิตในเมืองของชาวเวียดนามอย่างไรบ้าง โครงสร้างพื้นฐานทางสังคม เช่น โรงเรียนนานาชาติและร้านอาหารแบบตะวันตก เป็นสาเหตุสำคัญ การปรากฏตัวของชาวต่างชาติช่วยยกระดับภูมิทัศน์และสภาพการดำเนินชีวิตของชาวท้องถิ่น
คำนำ
นับตั้งแต่เวียดนามเปิดประตูให้การลงทุนระหว่างประเทศในปี 1993 นครโฮจิมินห์ก็กลายเป็นศูนย์กลางสำคัญสำหรับกิจกรรมทางธุรกิจและสังคมของชาวต่างชาติ ทั้งในแง่ของบริษัทหรือบุคคล ไม่ว่าเป็นเพราะระบบเศรษฐกิจเปิดหรือการเข้ามาพำนักของชาวต่างชาติ หรือทั้งสองประการ ล้วนทำให้นครแห่งนี้เปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างผิดหูผิดตา โดยเฉพาะในด้านโครงสร้างพื้นฐาน อสังหาริมทรัพย์ และเศรษฐกิจท้องถิ่น ผู้อยู่อาศัยและธุรกิจนานาชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนำมาซึ่งกระแสการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครั้งใหญ่ในย่านชานเมือง อพาร์ตเมนต์ระดับบน อาคารทางการค้า และย่านขายปลีก มีการขยายตัวและพัฒนา โดยเฉพาะในย่านที่มีประชากรเป็นชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงาน อาทิ District 7 และ District 2 (Harms, 2016) พื้นที่เหล่านี้ถูกปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับความต้องการของประชากรหลากหลายชาติ นำเสนอความสะดวกสบายที่ต้องตรงกับค่านิยม ซึ่งไม่ได้มีให้เห็นทั่วไปในเวียดนามในยุคก่อนนโยบายโด๋ยเม้ย และอาจไม่มีให้เห็นในช่วงเริ่มต้นของนโยบายโด๋ยเม้ยในปี 1987 ด้วย
(Source: Arental VietNam, 2024)
ย่านที่อยู่อาศัยใหม่ เช่น ฝูไหมเฮิง (District 7) และเถาเดี๋ยน (District 2) ได้รับการพัฒนาให้เหมาะกับผู้อยู่อาศัยชาวต่างชาติในนครโฮจิมินห์มาตั้งแต่ปี 1997 จนถึงปัจจุบัน (รูป 1) จากการสังเกตการณ์ภาคสนามและการทำแผนที่ บทความนี้จะทบทวนถึงการพัฒนาย่านฝูไหมเฮิงและเถาเดี๋ยนเพื่อทำความเข้าใจว่า เวียดนามจัดสรรที่อยู่อาศัยให้ชาวต่างชาติอย่างไร โดยใช้นครโฮจิมินห์เป็นตัวแทนของประเทศ
ตาราง 1. เปรียบเทียบระหว่างฝูไหมเฮิงกับเถาเดี๋ยน
ลักษณะเด่น | ย่านฝูไหมเฮิง | Tย่านเถาเดี๋ยน |
---|---|---|
ผู้พัฒนา | บริษัทไต้หวัน | รัฐบาล |
กลุ่มชาวต่างชาติหลัก | เอเชีย | ยุโรป |
ที่ตั้ง | District 7 | นครถูดึ๊ก (Thu Duc City) |
จำนวนชาวต่างชาติ | 13.000 | 12.000 |
จำนวนโรงเรียนนานาชาติ | 9 | 17 |
ลักษณะที่อยู่อาศัย | คอนโดและบ้านเดี่ยว | คอนโด บ้านเดี่ยวและอาคารพาณิชย์ |
การดูแลและการรักษาความปลอดภัย | เอกชน+รัฐ | รัฐ |
พื้นที่ (เฮกตาร์) | 433 | 375 |
การแบ่งเขตผังเมือง | ต้นแบบการพัฒนาแบบใช้พื้นที่ผสมผสานที่อยู่อาศัยกับการค้า | ต้นแบบการพัฒนาแบบใช้พื้นที่ผสมผสานที่อยู่อาศัยกับการค้า |
กรณีศึกษา 1:ฝูไหมเฮิง
หลังจากเวียดนามกลับมารวมประเทศในปี 1975 นครโฮจิมินห์วางแผนพัฒนาย่านทางทิศใต้ของเมืองหรือไซ่ง่อนใต้ให้ครอบคลุมโครงการสำคัญสามโครงการด้วยกัน นั่นคือ : เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมการส่งออก Tan Thuan Export Processing Zone, ย่านฝูไหมเฮิง และเขตอุตสาหกรรม Hiep Phuoc Industrial Park โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่ใหญ่กว่านั้น (World Bank, 2017).
ห่งเวือง (Hưng Vượng) (รูป 3) คือตัวอย่างของการพัฒนาที่อยู่อาศัยระดับหรู ซึ่งตั้งอยู่ตรงใจกลางของย่านฝูไหมเฮิง ในปี 2015 ย่านนี้ประกอบด้วยโครงการจัดสรรที่อยู่อาศัย 9 โครงการ รองรับบ้าน 354 หลังและผู้อยู่อาศัย 1300 คน (Le & Le, 2018) ย่านที่อยู่อาศัยนี้มีลักษณะของชุมชนที่รั้วรอบขอบชิด ควบคุมทางเข้าออกด้วยกำแพงและยามเฝ้าประตู ผังของโครงการจัดสรรมีสวนสาธารณะกลางแจ้ง ที่จอดรถร่วมกัน สนามเด็กเล่น และถนนภายในหมู่บ้าน
ระบบบริหารจัดการบังคับให้การอยู่อาศัยในเมืองมีระเบียบแบบแผน ซึ่งรวมถึงการไม่ทิ้งขยะเรี่ยราดตามพื้น มีการกำจัดขยะอย่างเหมาะสม มีการเก็บขยะ และห้ามจอดรถบนบาทวิถี กฎกติกาเหล่านี้กำหนดรูปทรงของอาคาร การวางผังคอนโด และพฤติกรรมของชาวเมือง ย่านฝูไหมเฮิงจัดทำกรอบกฎหมายเพื่อบริหารจัดการย่านและช่วงตึกต่างๆ ที่ซับซ้อนในเมืองอย่างเข้มงวด
โรงเรียนนานาชาติอันประกอบด้วย Korean International School of HCMC (KIS), Canada International School (CIS), ABC International School, Vietnam Australian (VAS), Vietnam Finland International School (VFIS), และ Saigon South International School (SSIS) คือเหตุผลหลักประการหนึ่งที่ทำให้ชาวเกาหลีย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ เนื่องจากสามารถเทียบโอนหน่วยกิตจากสถาบันการศึกษาในเวียดนามไปที่สถาบันการศึกษาในเกาหลีได้ เอื้อให้นักเรียนสามารถศึกษาต่อในเวียดนามได้อย่างราบรื่นเมื่อติดตามผู้ปกครองที่มาทำงานที่นี่ (Huynh, 2015)
เมื่อเปรียบเทียบกับย่านเกาหลีอื่นๆ ทั่วโลก ฝูไหมเฮิงเป็นการลอกแบบระบบสังคมเกาหลีที่ดีที่สุด (Kim, 2016) กรรมการบริหารจัดตั้งระบบรักษาความปลอดภัย ประกอบด้วยยาม รปภ. เอกชนประมาณ 300 คนสำหรับย่านนี้ พื้นที่นี้ปลอดภัยสำหรับคนแปลกหน้า ไม่มีความรุนแรงหรืออัตราอาชญากรรมสูง (Douglass & Huang, 2007) มีร้านค้า ร้านอาหาร และตลาด พร้อมป้ายภาษาเกาหลีทุกหนแห่ง ชาวเกาหลีสามารถดำเนินชีวิตในย่านฝูไหมเฮิงโดยไม่ต้องรู้ภาษาเวียดนามและรู้สึกปลอดภัยเหมือนอยู่บ้าน
ในปี 2015 ฝูไหมเฮิงมีผู้อยู่อาศัย 26,950 คน 56% เป็นชาวต่างชาติจากเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ และจีน 27% เป็นชาวเกาหลี กว่า 60% ของผู้อยู่อาศัยในฝูไหมเฮิงในปี 2018 ไม่ใช่ชาวเวียดนาม ประชากรในย่านนี้เพิ่มขึ้นเป็น 30,000 คนในปี 2018 40,000 คนในปี 2020 และ 35,000 คนในปี 2023 ฝูไหมเฮิงเริ่มถดถอยจากการเป็นที่อยู่อาศัยระยะยาวที่ได้รับความนิยมสูงสุดในหมู่ผู้มาตั้งถิ่นฐาน ทั้งนี้เนื่องจากการจราจรที่ติดขัดอย่างหนักจากศูนย์กลางของเมืองมาถึงที่นี่ (Huynh, 2015) หลังจากโรคระบาดโควิด-19 ฝูไหมเฮิงมีชาวต่างชาติอยู่อาศัยเหลือแค่ 31% (Quy, 2023) ในปี 2024 มีแนวโน้มที่ชาวเกาหลีนิยมย้ายไปเขตนครถูดึ๊ก (Thu Duc City) แทน ชาวต่างชาติเริ่มละทิ้งฝูไหมเฮิงเพื่อไปอยู่อาศัยในย่านเถาเดี๋ยนในนครถูดึ๊ก (Lan & Huong, 2024)
กรณีศึกษา 2: เถาเดี๋ยน นครถูดึ๊ก
นับตั้งแต่ปี 1997 เป็นต้นมา ย่านเถาเดี๋ยน (รูป 4) ผ่านการจัดทำผังเมืองและการพัฒนาพอสมควร ทำให้มันกลายเป็นถิ่นน่าอยู่สำหรับชาวเวียดนามและนักท่องเที่ยว ทางเท้ากว้าง ถนนมีต้นไม้ขนาบเรียงราย และพื้นที่สำหรับคนเดินเท้าเป็นความสำคัญอันดับแรกของส่วนการปกครองในเขตนี้ มีการลดความหนาแน่นของการจราจรและส่งเสริมการเดินและการขี่จักรยานเพื่อสุขภาพ บ้าน สำนักงาน และร้านค้าปลีก ตั้งอยู่ปะปนรวมกันในเถาเดี๋ยน เนื่องจากบรรยากาศที่มีชีวิตชีวา ผู้อยู่อาศัยจึงเข้าถึงร้านค้า ร้านอาหาร ธุรกิจห้างร้าน และแหล่งบันเทิงได้ง่าย พื้นที่นี้มีรูปแบบเชิงโครงสร้างและการจัดการของสถาปัตยกรรมและการออกแบบอาคารที่อยู่อาศัยอย่างเป็นระบบระเบียบน้อยกว่าย่านฝูไหมเฮิง ผู้อยู่อาศัยจำนวนมากสะท้อนให้เห็นประวัติศาสตร์อันร่ำรวยของชาวยุโรป รวมทั้งลักษณะการออกแบบแบบยุโรปที่หลากหลายจากยุคสมัยต่างกันไป ในปัจจุบัน เมื่อเขตนี้ถูกกำหนดให้มีการใช้สอยพื้นที่แบบผสมผสาน เถาเดี๋ยนจึงมีทั้งร้านอาหาร บาร์ และร้านค้าปลีกท่ามกลางอาคารพาณิชย์ต่างๆ ผู้คนหลากหลายถิ่น ทั้งจากยุโรป อเมริกา แอฟริกา สิงคโปร์ เกาหลี และไต้หวัน อาศัยปนเปกันในบ้านเรือนที่มีการออกแบบเชิงสถาปัตยกรรมหลากหลาย ย่านนี้อยู่ใกล้เส้นทางรถไฟฟ้าสายใหม่ การออกแบบในย่านเถาเดี๋ยนมีความเป็นสมัยใหม่น้อยกว่าฝูไหมเฮิง เถาเดี๋ยนพัฒนาขึ้นมาตามธรรมชาติ เพิ่มเติมสิ่งปลูกสร้างใหม่ท่ามกลางอาคารเก่า ส่วนฝูไหมเฮิงนั้นมีการออกแบบอย่างถี่ถ้วนและสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมดให้สอดคล้องกับบรรทัดฐานการดำเนินชีวิตในเมืองที่กำหนดไว้ เช่น พื้นที่สีเขียวสำหรับสวนสาธารณะ พื้นที่สันทนาการ และพื้นที่ส่วนรวมของชุมชน เป็นต้น
เช่นเดียวกับฝูไหมเฮิง เถาเดี๋ยนก็มีโรงเรียนนานาชาติที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในการเรียนการสอนหลายแห่ง มีทั้งมาจากสหราชอาณาจักร อเมริกา ออสเตรเลีย และยุโรป โรงเรียนนานาชาติเหล่านี้รับเด็กอายุตั้งแต่ 3 ขวบถึง 18 ปี ชาวต่างชาติเห็นว่าเถาเดี๋ยนน่าอยู่ สืบเนื่องจากมีชุมชนนานาชาติที่หลากหลาย โรงเรียนเป็นเหตุผลน่าดึงดูดใจมากที่สุดสำหรับชาวต่างชาติในการพำนักที่ย่านเถาเดี๋ยน
เมื่อพิจารณาทางเลือกของที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมต่อวิถีชีวิตและปัจจัยทางการเงินที่แตกต่างกันไปของชาวต่างชาติ ทางเลือกของที่อยู่อาศัยหลายแห่งในเถาเดี๋ยนได้รับการปรับแต่งสำหรับชาวต่างชาติโดยเฉพาะ มันมักมีการออกแบบแบบตะวันตก พื้นที่อยู่อาศัยเปิดโล่งกว้างขวาง ครัวและห้องน้ำทันสมัย รวมทั้งการตกแต่งคุณภาพสูงในชุมชนล้อมรั้ว (Lan & Huong, 2024) โดยทั่วไปแล้ว ชาวเวียดนามมักมีครัวขนาดเล็กแบบเก่าและห้องน้ำราคาถูก เศรษฐีชาวเวียดนามในปัจจุบันกำลังรับเอาบรรทัดฐานของพื้นที่อยู่อาศัยแบบใหม่ที่ยกระดับมากขึ้นทั้งภายนอกและภายในตัวอาคาร ตึกอพาร์ตเมนต์สูงลิบหรูหราราคาแพงให้ทิวทัศน์เมืองอย่างสวยงาม และเครื่องอำนวยความสะดวกสมัยใหม่ เช่น ฟิตเนส สระว่ายน้ำ และมาตรการรักษาความปลอดภัย เป็นสิ่งที่ดึงดูดใจสำหรับชาวเมือง ในพื้นที่เดียวกัน บ้านเดี่ยวขนาดใหญ่ให้พื้นที่อยู่อาศัยหรูหราและมีความเป็นส่วนตัว พร้อมกับห้องนั่งเล่นกว้างขวาง ทาวน์เฮาส์รุ่นใหม่ให้การผสมผสานที่ลงตัวระหว่างความเป็นส่วนตัวกับชุมชน เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มองหาสภาพแวดล้อมที่มีปฏิสัมพันธ์กับภายนอกมากขึ้น ส่วนบ้านของชาวเวียดนามดั้งเดิมนั้นมักแคบและยาวและไม่มีสวน
เปรียบเทียบสองย่านในเชิงสัณฐานวิทยา
เถาเดี๋ยนเป็นที่รู้จักในแง่ของการมีบริการและความสะดวกสบายหลากหลายที่ออกแบบมาเพื่อผู้อยู่อาศัยนานาชาติ อาทิ โรงเรียนนานาชาติ ร้านอาหารแบบตะวันตก และผู้ให้บริการที่พูดภาษาอังกฤษได้ สภาพแวดล้อมเช่นนี้ช่วยให้ชาวต่างชาติที่พูดภาษาอังกฤษปรับวิถีชีวิตให้กลมกลืนกับชีวิตในเวียดนามได้ง่าย อย่างไรก็ตาม ค่าครองชีพในย่านนี้สูงกว่าย่านอื่น สืบเนื่องจากการกระจุกตัวของชาวต่างชาติที่เข้ามาพักอาศัย ด้วยเหตุผลที่ว่าผู้อยู่อาศัยในพื้นที่นี้สามารถจ่ายในราคาที่สูงกว่า
ส่วนฝูไหมเฮิงเป็นเขตเมืองหรูหราที่มีโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในระดับดีเลิศ โครงสร้างประชากรประกอบด้วยชาวต่างชาติกับชาวเวียดนามที่เชี่ยวชาญด้านวิชาชีพผสมปนเปกัน ฝูไหมเฮิงนำเสนอประสบการณ์ของเมืองที่ทันสมัยและวางแผนมากกว่า มีสวนสาธารณะและทะเลสาบกว้างใหญ่กว่า และทางเลือกที่อยู่อาศัยที่หลากหลายครอบคลุมกว่า (รูป 5) ภาษาอังกฤษที่พูดกันในย่านฝูไหมเฮิงอาจไม่ได้พูดกันแพร่หลายเท่าในเถาเดี๋ยน แต่ก็มากเพียงพอ
ฝูไหมเฮิงมีการออกแบบเมืองเป็นช่องเท่าๆ กันคล้ายตะแกรง ซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปในโครงการที่มีการวางแผน โครงการสร้างเมืองสมัยใหม่และย่านที่อยู่อาศัยที่มีการนำมาพัฒนาใหม่มักออกแบบตามทิศทางนี้ การจัดลำดับชั้นของถนนอย่างชัดเจนและการแบ่งเป็นบล็อกๆ ทำให้การกำกับการจราจรและการใช้ที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพทำได้ง่ายขึ้น ทว่านี่มิใช่สิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปในย่านเมืองเก่าของเวียดนาม ซึ่งมีเครือข่ายถนนซับซ้อนเหมือนใยแมงมุมและจำนวนบ้านไม่เท่ากันในแต่ละช่วงตึก ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไปในการตามหาบ้านของชาวเวียดนามสักคนในย่านที่อยู่อาศัยเก่า แต่ในฝูไหมเฮิงนั้นทำได้ง่ายมาก
ผังเมืองของเถาเดี๋ยนนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละบล็อก ทั้งรูปทรงและขนาดของที่ดินแต่ละแปลงก็ไม่เท่ากัน ชี้ให้เห็นการเติบโตตามธรรมชาติที่ปราศจากการวางแผนจากส่วนกลางหรือการวางผังเมือง ทำเลต่างๆ อาจมีลักษณะเฉพาะตัวและสะท้อนถึงแบบแผนการเติบโตในอดีต แต่ความที่คาดทำนายไม่ได้อาจเป็นเหตุให้โครงสร้างพื้นฐานและการให้บริการสาธารณะมีปัญหาไม่น้อย ในแง่นี้ วิถีการพัฒนาในอนาคตของย่านเถาเดี๋ยนอาจคล้ายคลึงกับย่านเก่าแก่ในเมืองมากกว่า
วิธีการวางผังเมืองทั้งสองแบบต่างมีข้อดีและข้อเสีย ผังเมืองแบบฝูไหมเฮิงสามารถจัดการโครงสร้างพื้นฐานและบริการต่างๆ ได้ดีกว่า แต่มันอาจไม่มีเสน่ห์ตามธรรมชาติ การออกแบบที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานของเถาเดี๋ยนอาจสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่น รวมทั้งให้ประสบการณ์ในเมืองที่โดดเด่นเฉพาะตัว แต่มันต้องเผชิญปัญหาท้าทายด้านการบำรุงรักษาและการขนส่ง เส้นทางพัฒนาแบบเถาเดี๋ยนอาจก่อให้เกิดความวุ่นวายและความไม่มีระเบียบมากกว่า กระนั้นก็ตาม ชาวต่างชาติกลับชอบการออกแบบที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานของเถาเดี๋ยน
สรุป
ฝูไหมเฮิงและเถาเดี๋ยนเป็นย่านที่ส่วนหนึ่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับวิถีชีวิตของชาวต่างชาติ ทั้งสองย่านให้ทางเลือกของที่อยู่อาศัยหลากหลาย มีทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และอพาร์ตเมนต์ตึกสูง ซึ่งออกแบบตามมาตรฐานพื้นที่แบบตะวันตก พร้อมด้วยโครงสร้างพื้นฐานด้านสังคมที่ทันสมัย
ทั้งสองกรณีตัวอย่างคือวิถีทางใหม่ในการพัฒนาเมืองใหม่ในเวียดนาม บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไต้หวันที่ออกแบบฝูไหมเฮิงทุ่มเทเวลาและเงินจำนวนมากไปกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสังคม (สวนสาธารณะ โรงเรียน) ก่อนที่จะเริ่มขายบ้านและที่ดิน เถาเดี๋ยนก็เจริญรอยตามวิถีทางนั้นเช่นกัน มีการก่อตั้งโรงเรียนนานาชาติหลายแห่ง ผู้ซื้อที่มีกำลังทรัพย์เต็มใจจ่ายเงินเพื่ออยู่อาศัยในบ้านและที่อยู่อาศัยหรูหราราคาแพง เพราะที่อยู่อาศัยแบบนี้ให้สภาพแวดล้อมที่คล้ายคลึงกับประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งชาวเวียดนามไม่เคยรู้จักก่อนทศวรรษ 1990
นครโฮจิมินห์มีความหลากหลายและมีระดับมาตรฐานการครองชีพที่แตกต่างกันมากมาย มันค่อยๆ ให้ความสะดวกสบายแก่ชาวต่างชาติมากขึ้นเรื่อยๆ ในแง่ของย่านที่อยู่อาศัยใหม่ๆ ซึ่งรองรับวิถีชีวิตของชาวต่างชาติ รวมทั้งชนะใจชาวเวียดนามเองด้วย ซึ่งเลือกมาอยู่อาศัยในฝูไหมเฮิงด้วยความตั้งใจและมีเหตุผลในการเลือก ด้วยเหตุนี้ ผลกระทบของนโยบายโด๋ยเม้ย อันประกอบด้วยการเปิดกว้างให้ชาวต่างชาติเข้ามาอยู่อาศัยในเวียดนาม ตลอดจนการพัฒนาเมือง จึงเป็นเรื่องที่น่าจับตามองและจะยังคงดำเนินต่อเนื่องไปอีกในระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควร
Thanh Bao Nguyen and Hung Minh Ngo
Thanh Bao Nguyen และ Hung Minh Ngo สังกัด Van Lang University, Vietnam
Corresponding email: thanh.nb@vlu.edu.vn
Banner: Twilight on Ban Nguyet riverbank, cityscape of Phu My Hung, Dist 7, Ho Chi Minh. Photo: Dorothy Pham, Shutterstock
References
Douglass, M., & Huang, L. (2007). Globalizing the city in Southeast Asia: Utopia on the urban edge–the case of Phu My Hung, Saigon. International Journal of Asia-Pacific Studies, 3.
Harms, E. (2016). Luxury and Rubble: Civility and Dispossession in the New Saigon: University of California Press.
Huynh, D. (2015). Phu My Hung New Urban Development in Ho Chi Minh City: Only a partial success of a broader landscape. International Journal of Sustainable Built Environment, 4(1), 125-135. doi:https://doi.org/10.1016/j.ijsbe.2015.03.005
Kim, D.-Y. (2016). A Study on the Characteristics of the Planned New Town Apartments in Vietnam – Focusing on the Ho Chi Minh City the Phu My Hung Area. Korean Institute of Interior Design Journal, 25, 101-111. doi:10.14774/JKIID.2016.25.2.101
Lan, N. T. H., & Huong, L. T. T. (2024). Gated Community vs. Inclusive Urban Development: A Case Study of the Old District 2, Ho Chi Minh City, Vietnam. Paper presented at the Asian Urbanization Conference 2024, The Vietnamese-German University (VGU)-Ho Chi Minh City.
Le, T. T. H., & Le, T. T. H. (2018). Privatization of neighborhood governance in transition economy: a case study of gated community in Phu My Hung new town, Ho Chi Minh City, Vietnam. GeoJournal, 83(4), 783-801. doi:10.1007/s10708-017-9803-x
Quy, H. (2023). Hành Trình Khát Vọng. Tuoi Tre. Retrieved from https://tuoitre.vn/khu-do-thi-phu-my-hung-hanh-trinh-khat-vong-20230517172414994.htm
World Bank. (2017). Phu My Hung, Ho Chi Minh City, Vietnam – Case Study. Retrieved from https://www.thegpsc.org/sites/gpsc/files/3._ho_chi_minh.pdf