พรรคประชาชนกัมพูชา (Cambodian People’s Party-CPP) รวบอำนาจทางการเมืองในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2023 โดยได้ที่นั่ง 120 ที่นั่งจากทั้งหมด 125 ที่นั่งในสมัชชาแห่งชาติหรือรัฐสภา[1] นี่เป็นผลลัพธ์ที่ยิ่งตอกย้ำการครองอำนาจที่เข้มแข็งที่สุดครั้งหนึ่งของพรรคนี้ นับตั้งแต่กัมพูชาหันมาปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบหลายพรรคในปี 1991 ส่วนพรรคฝ่ายค้านมีอยู่แค่ชื่อ พวกเขาต้องเผชิญการกดขี่บีบบังคับทั้งในด้านกฎหมาย ราชการ และด้านข่าวสาร ซึ่งเป็นการบ่อนทำลายความสุจริตและเป็นธรรมของการเลือกตั้ง อีกทั้งยังตีกรอบจำกัดการแข่งขันที่แท้จริง
ระบบหลายพรรคของกัมพูชามีการนำมาใช้โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงสันติภาพปารีส (Paris Peace Agreements) เมื่อปี 1991 ซึ่งยุติความขัดแย้งกับเวียดนาม และวางรากฐานให้ระบอบประชาธิปไตยบนพื้นฐานของค่านิยมแบบเสรีนิยม องค์การบริหารชั่วคราวแห่งสหประชาชาติในกัมพูชา (United Nations Transitional Authority in Cambodia—UNTAC หรืออันแทก) ทำหน้าที่กำกับดูแลการเลือกตั้งแบบหลายพรรคที่จัดเป็นครั้งแรกของประเทศนี้ในปี 1993[2] นับเป็นหมุดหมายของบทตอนใหม่ในภูมิทัศน์ทางการเมืองของกัมพูชา
อย่างไรก็ตาม ตลอดสามทศวรรษที่ผ่านมา พรรคประชาชนกัมพูชาคอยลิดรอนความสุจริตและเป็นธรรมของกรอบการเลือกตั้งแบบหลายพรรคมาตลอด โดยพยายามสร้างความได้เปรียบให้พรรคตนแบบฝังรากลึก ในช่วงกลางทศวรรษ 1990 ความรุนแรงที่เกี่ยวเนื่องกับการเลือกตั้งมีบทบาทสำคัญในการกดปราบฝ่ายตรงข้าม เมื่อกัมพูชาก้าวเข้าสู่ทศวรรษ 2000 พรรคประชาชนกัมพูชาเริ่มเปลี่ยนวิธีการไปใช้รูปแบบการควบคุมเชิงสถาบันมากขึ้น มีการออกกฎหมายการเลือกตั้งที่จำกัดกิจกรรมของพรรคฝ่ายค้าน ใช้กลไกฝ่ายบริหารและตุลาการเพื่อตัดสินให้พรรคคู่แข่งขาดคุณสมบัติ และบังคับใช้การเซนเซอร์เป็นวงกว้างเพื่อควบคุมภูมิทัศน์ของสื่อ ด้วยการปรับแต่งชี้นำกรอบโครงของการเลือกตั้งและวาทกรรมสาธารณะ พรรคประชาชนกัมพูชาได้สร้างสมอำนาจเป็นปึกแผ่น พร้อมกับลดทอนการแข่งขันในกระบวนการเลือกตั้งของกัมพูชา
ความรุนแรงที่เกี่ยวเนื่องกับการเลือกตั้งในกัมพูชา
ลักษณะเด่นของการเลือกตั้งในกัมพูชาหลังปี 1993 จนกระทั่งกลางทศวรรษ 2000 ก็คือ การใช้ความรุนแรงที่เกี่ยวเนื่องกับการเมือง การใช้ความรุนแรงของพรรคประชาชนกัมพูชามักเชื่อมโยงกับช่วงเวลาเลือกตั้ง ผู้ตกเป็นเป้าคือสมาชิกของพรรคฝ่ายค้านและฐานเสียง ถึงแม้พรรคฟุนซินเปก (National United Front for an Independent, Neutral, Peaceful and Cooperative Cambodia–FUNCINPEC) ซึ่งเป็นพรรคนิยมเจ้า จะชนะการเลือกตั้งในปี 1993 แต่ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ซึ่งปกครองกัมพูชามาตั้งแต่ปี 1985 โดยได้รับการหนุนหลังจากเวียดนาม กลับไม่ยอมลงจากอำนาจ เรื่องนี้ทำให้เกิดรัฐบาลผสมระหว่างพรรคฟุนซินเปกกับพรรคประชาชนกัมพูชา โดยมีฮุน เซนและเจ้านโรดม รณฤทธิ์รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีร่วมกัน[3]
การจัดสรรแบ่งปันอำนาจกันข้างต้นล้มครืนลงในปี 1997 เมื่อฮุน เซนทำรัฐประหารขับไล่เจ้ารณฤทธิ์ออกจากตำแหน่ง ส่งผลให้มีการประหารชีวิตสมาชิกพรรคฝ่ายตรงข้ามมากกว่า 60 ราย นี่เป็นหมุดหมายของการรวบอำนาจในยุคต้นของพรรคประชาชนกัมพูชาเพื่อควบคุมทางการเมือง ฮุน เซนดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปเพียงผู้เดียว[4] ในช่วงใกล้การเลือกตั้งปี 1998 การใช้ความรุนแรงต่อสมาชิกพรรคฟุนซินเปกก่อให้เกิดบรรยากาศของความสะพรึงกลัว ผลักคนจำนวนมากให้ลี้ภัยออกนอกประเทศ ผู้สมัครรับเลือกตั้งสามารถเข้าถึงสื่อได้อย่างจำกัดด้วย เปิดทางให้พรรคประชาชนกัมพูชาหาเสียงโดยมีคู่แข่งน้อยที่สุด[5] หลังจากได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง การประท้วงที่กล่าวหาว่าการเลือกตั้งมีความไม่ชอบมาพากลต้องประสบกับการปราบปรามด้วยความรุนแรงและมีผู้เสียชีวิตหลายราย[6]
ความรุนแรงและการคุกคามข่มขู่ยังคงมีอยู่ก่อนการเลือกตั้งปี 2003 ก่อนการเลือกตั้งคอมมูนในปี 2002 สิ่งที่เป็นเสมือนเค้าลางของการเลือกตั้งทั่วไปปรากฏให้เห็น นักเคลื่อนไหวฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลถูกสังหาร 15 คน และมีรายงานข่าวแพร่หลายเกี่ยวกับการคุกคามและทำลายทรัพย์สินต่อฐานเสียงของพรรคฟุนซินเปกและพรรคสมรังสี[7]
ถึงแม้ว่าการใช้ความรุนแรงยังเกิดขึ้นเป็นระยะๆ เช่น การลอบสังหารขิม สมบ่อ (Khim Sambo) นักหนังสือพิมพ์และผู้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ในปี 2008[8] กระนั้นการใช้กำลังทำร้ายร่างกายฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองก็เริ่มลดลง พร้อมกับระบอบประชาธิปไตยตั้งมั่นได้มากขึ้นนับตั้งแต่กลางทศวรรษ 2000 เป็นต้นมา การใช้ความรุนแรงอย่างเปิดเผยส่วนใหญ่ถูกแทนที่ด้วยการข่มขู่คุกคามในรูปแบบที่ซ่อนเงื่อนกว่า เช่น การแก้ไขกฎหมายการเลือกตั้งเพื่อจำกัดกิจกรรมของพรรคฝ่ายค้าน การใช้กลยุทธ์เชิงบริหารและตุลาการเพื่อลดความสำคัญของพรรคฝ่ายค้าน และกระชับการควบคุมสื่ออิสระต่างๆ กลยุทธ์เหล่านี้ยิ่งเซาะกร่อนบ่อนทำลายระบบการเลือกตั้งของกัมพูชา พร้อมกับเปลี่ยนโฉมหน้าของประเทศให้กลายเป็นรัฐที่ถูกครอบงำด้วยพรรคการเมืองพรรคเดียว
การแก้ไขกฎหมายการเลือกตั้ง
กรอบโครงกฎหมายการเลือกตั้งถูกแก้ไขอย่างเป็นระบบเพื่อเอียงสนามการเมืองสร้างความได้เปรียบให้พรรคประชาชนกัมพูชา จำกัดโอกาสของพรรคฝ่ายค้านที่จะมีส่วนร่วมอย่างมีความหมายในการเลือกตั้ง รัฐธรรมนูญ[9] เป็นเอกสารสำคัญทางกฎหมายที่วางกรอบโครงเพื่อระบอบประชาธิปไตย มาตรา 51 กล่าวว่า ประเทศกัมพูชา “ใช้นโยบายประชาธิปไตยเสรีนิยมและพหุนิยม” ดังนั้น อำนาจทางการเมืองจึงมาจากเจตจำนงของประชาชน ซึ่งหมายถึงความจำเป็นต้องมีการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรมเพื่อตัดสินการกระจายอำนาจทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม ก่อนการเลือกตั้งปี 2023 มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อทำลายบทบาทของฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง การแก้ไขมาตรา 19, 82, 106, 119, 137 และมาตรา 3 และ 4 ในกฎหมายรัฐธรรมนูญเพิ่มเติม ได้สั่งห้ามไม่ให้บุคคลที่ถือสองสัญชาติดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมือง เช่น ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี[10] การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ส่งผลกระทบต่อบุคคลที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามหลายคนจากพรรคสงเคราะห์ชาติ (Cambodia National Rescue Party—CNRP) ซึ่งตอนนี้ถูกยุบพรรคไปแล้ว คนเหล่านี้เคยท้าทายอำนาจของพรรคประชาชนกัมพูชาในการเลือกตั้งปี 2013[11] อาทิ สม รังสี ซึ่งถือสัญชาติกัมพูชาและฝรั่งเศส และ Mu Sochua ซึ่งแต่งงานกับชาวต่างชาติ
อีกตัวอย่างหนึ่งคือ กฎหมายการเลือกตั้งสมาชิกสมัชชาแห่งชาติ (Law on the Election of Members of the National Assembly–LEMNA)[12] ซึ่งกำกับกระบวนการเลือกตั้งของกัมพูชา ในปี 2023 มีการแก้ไขเพื่อจำกัดสิทธิ์ของผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ไม่ได้มาลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งสองครั้งหลังสุด และมีการกำหนดโทษต่อคนที่สนับสนุนการคว่ำบาตรหรือทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ[13] สำหรับสมาชิกพรรคฝ่ายค้านที่เคยลี้ภัยออกไปจากกัมพูชาเองเพื่อหลีกเลี่ยงคดีที่มีแรงจูงใจทางการเมืองและไม่สามารถลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งที่ผ่านมา กฎเกณฑ์ใหม่นี้จึงทำให้พวกเขาขาดคุณสมบัติในการสมัครรับเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เป็นการลดทอนความสามารถของพวกเขาในการท้าทายอำนาจของพรรคประชาชนกัมพูชา การแก้ไขกฎหมายข้างต้นนี้ผ่านสมัชชาแห่งชาติอย่างรวดเร็ว และได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกสภานิติบัญญัติทั้ง 111 คนที่สังกัดพรรคประชาชนกัมพูชาโดยแทบไม่มีการอภิปราย[14]
ถึงแม้ตัวอย่างเหล่านี้ไม่ได้แจกแจงการแก้ไขกฎหมายเลือกตั้งทั้งหมด แต่ก็คงพอทำให้เห็นภาพยุทธศาสตร์ระดับใหญ่กว่านั้นในการค้ำจุนกรอบโครงทางกฎหมาย ซึ่งเปลือกนอกคล้ายจะธำรงความชอบธรรมไว้ แต่แท้จริงแล้วมุ่งสร้างบรรทัดฐานที่จำกัดการมีสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้ง อันเป็นกระบวนการที่พรรคประชาชนกัมพูชาสามารถบังคับใช้กฎหมายโดยมีเสียงคัดค้านน้อยที่สุด สืบเนื่องจากการมีเสียงข้างมากเด็ดขาดในรัฐสภา
การใช้กลยุทธ์เชิงบริหารและตุลาการ
การใช้ความรุนแรงที่เกี่ยวเนื่องกับการเมืองเริ่มมีวิวัฒนาการตั้งแต่กลางทศวรรษ 2000 เป็นต้นมา โดยมีการใช้กลยุทธ์เชิงบริหารและตุลาการมาลิดรอนกำลังของฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง เห็นได้ชัดเจนในช่วงหลังจากการเลือกตั้งทั่วไปปี 2013 และช่วงก่อนการเลือกตั้งทั่วไปปี 2018 และ 2023
ในการเลือกตั้งปี 2013 พรรคสงเคราะห์ชาติเป็นผู้ท้าชิงสำคัญรายแรกสุดที่ท้าทายต่อพรรคประชาชนกัมพูชาซึ่งครองความเป็นใหญ่ทางการเมืองมาตั้งแต่ปี 1998 สัดส่วนคะแนนเสียงของพรรคประชาชนกัมพูชาลดลงเหลือ 48.8% ส่วนพรรคสงเคราะห์ชาติได้คะแนนเสียง 44.4%[15] หลังจากมีผลลัพธ์การเลือกตั้งที่ฉิวเฉียดขนาดนี้ ก็มีการใช้กลยุทธ์เชิงบริหารและตุลาการเพิ่มมากขึ้นเพื่อบ่อนทำลายบทบาทของฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ในปี 2015 สม รังสี อดีตประธานพรรคสงเคราะห์ชาติ ถูกตัดสินจำคุกสองปีในความผิดฐานหมิ่นประมาท หลังจากกล่าวหาพรรคประชาชนกัมพูชาว่าโกงคะแนนเสียงในปี 2013[16] เขาต้องลี้ภัยออกไปเองจากประเทศในเดือนพฤศจิกายน 2015[17]
ความพยายามของพรรคประชาชนกัมพูชาที่จะบั่นทอนพลังของพรรคฝ่ายค้านยิ่งเข้มข้นขึ้นในปี 2016 หลังจากมีการลอบสังหารเขม เลย์ (Kem Ley) นักวิเคราะห์การเมืองและวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล หลังจากเขาตายได้ไม่นาน สม รังสีก็ถูกตั้งข้อหาหมิ่นประมาทจากการพูดเป็นนัยว่ารัฐบาลมีส่วนเกี่ยวข้อง โดยเขากล่าวว่ามีแต่รัฐบาลเท่านั้นที่สามารถดำเนินการสังหารแบบนี้ได้[18] ในเดือนกุมภาพันธ์ 2017 เขาลาออกจากตำแหน่งประธานพรรคสงเคราะห์ชาติ สืบเนื่องจากมีการเสนอแก้ไขกฎหมายเลือกตั้งให้สั่งห้ามผู้ถูกตัดสินลงโทษในความผิดคดีอาญามิให้เป็นผู้นำพรรคการเมือง[19]
ในปี 2017 เขม โสขะ (Kem Sokha) ผู้ดำรงตำแหน่งประธานพรรคสงเคราะห์ชาติแทนสม รังสีที่ลาออกไป ถูกตั้งข้อหากบฏและสมรู้ร่วมคิดกับต่างชาติภายใต้มาตรา 443 ของประมวลกฎหมายอาญา เขาถูกกล่าวหาว่าสมรู้ร่วมคิดกับสหรัฐอเมริกาในการล้มล้างรัฐบาล[20] และต่อมาถูกตัดสินลงโทษให้กักบริเวณไว้ในบ้านเป็นเวลา 27 ปีและถูกตัดสิทธิ์จากการมีส่วนร่วมในการเมือง คณะผู้เชี่ยวชาญจากสหประชาชาติ[21] มีความเห็นว่า การตัดสินครั้งนี้มีแรงจูงใจทางการเมืองอยู่เบื้องหลัง และมีเป้าหมายเพื่อบั่นทอนอิทธิพลของพรรคสงเคราะห์ชาติ ในเดือนพฤศจิกายน 2017 ศาลสูงสุดของกัมพูชาสั่งยุบพรรคสงเคราะห์ชาติ กล่าวหาว่าพรรคมีส่วนสมรู้ร่วมคิดในการโค่นล้มฮุน เซนโดยมีต่างชาติหนุนหลัง[22] เมื่อปราศจากพรรคฝ่ายค้านที่เข้มแข็ง พรรคประชาชนกัมพูชาที่ครองอำนาจในรัฐบาลก็กวาดชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2018 ได้ที่นั่งทั้งหมดในรัฐสภา 125 ที่นั่งด้วยคะแนนเสียง 76.8%[23]
ในบริบทของการเลือกตั้งปี 2023 พรรคเพลิงเทียน (Candlelight Party–CLP) อดีตเคยใช้ชื่อว่าพรรคชาติเขมร (Khmer Nation Party) และพรรคสมรังสี ถูกตัดสิทธิ์ไม่ให้เข้าร่วมในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2023 หลังจากพรรคนี้กลายเป็นพรรคฝ่ายค้านหลักหลังจากการยุบพรรคสงเคราะห์ชาติ[24] ช่วงก่อนการเลือกตั้งปี 2023 คณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งชาติของกัมพูชาตัดสินว่าพรรคเพลิงเทียนขาดคุณสมบัติในการลงสมัครรับเลือกตั้ง สืบเนื่องจากปัญหาเกี่ยวกับกระบวนการลงทะเบียน เพราะพรรคเพลิงเทียนยื่นเอกสารสำเนาแทนเอกสารฉบับตัวจริงที่ต้องใช้ในการลงทะเบียน พรรคเพลิงเทียนโต้แย้งว่า เอกสารฉบับตัวจริงทั้งหมดถูกยึดริบไประหว่างตำรวจเข้าบุกค้นสำนักงานในปี 2017 ทำให้พวกเขาไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขในการลงทะเบียน[25] หลังจากนั้น มีการคุกคามกลั่นแกล้งสมาชิกพรรคอย่างต่อเนื่องโดยใช้วิธีการทางการเงิน ในเดือนกรกฎาคม 2024 Teav Vannol ประธานพรรคเพลิงเทียน ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานหมิ่นประมาทหลังจากวิพากษ์วิจารณ์นายกรัฐมนตรีฮุน มาแณต และถูกสั่งปรับเป็นเงิน 1.5 ล้านดอลลาร์[26]
การใช้เล่ห์กลบิดเบือนการเลือกตั้งยิ่งทำให้ฝ่ายค้านเสียเปรียบ ยกตัวอย่างเช่น ในการเลือกตั้งคอมมูนปี 2022 มีกรณีไม่ชอบมาพากลมากมาย อาทิ บัตรลงคะแนนหาย คะแนนเพิ่มขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้ รวมทั้งการนับคะแนนมีการแก้ไขและการลบคะแนนบ่อยมากจนกลายเป็นเรื่องธรรมดา คณะกรรมการการเลือกตั้งก็แทบไม่ทำอะไรเลยเพื่อป้องกันความผิดปรกติเหล่านี้[27] โดยรวมแล้ว สภาพการณ์เช่นนี้เอื้อให้พรรคประชาชนกัมพูชาได้เปรียบเหนือคู่แข่งทางการเมืองอย่างมาก ทำให้ฝ่ายค้านอ่อนแอลงจนไม่สามารถแข่งขันในการเลือกตั้งอย่างเป็นธรรม
การควบคุมสื่ออิสระ
การเซาะกร่อนการเลือกตั้งแบบหลายพรรคยิ่งเข้มข้นกว่าเดิม เนื่องจากพรรคประชาชนกัมพูชากระชับการควบคุมสื่ออิสระ โดยเฉพาะหลังจากพยายามรวบอำนาจไว้ในมือภายหลังการเลือกตั้งปี 2013 รัฐบาลพรรคประชาชนกัมพูชามุ่งเป้าจัดการสื่ออิสระ นักหนังสือพิมพ์ และโลกดิจิตัลอย่างเป็นระบบ เพื่อควบคุมเรื่องเล่าแม่บทเกี่ยวกับความรับผิดรับชอบของรัฐบาล เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อความเป็นธรรมและการแข่งขันในการเลือกตั้ง เนื่องจากมีการควบคุมการไหลเวียนเผยแพร่ของข้อมูลข่าวสารอิสระ และจำกัดความสามารถของฝ่ายตรงข้ามในการสื่อสารกับสาธารณชนอย่างมีประสิทธิภาพ
ในเดือนพฤษภาคม 2008 สถานีวิทยุ Angkor Ratha ถูกสั่งปิด เนื่องจากออกอากาศรายการของพรรคฝ่ายค้านโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาล[28] ในช่วงปีก่อนการเลือกตั้ง 2018 สถานีโทรทัศน์ TVK ซึ่งเป็นสถานีของภาครัฐ จัดสรรเวลาออกอากาศให้พรรคประชาชนกัมพูชาถึง 84% ในขณะที่พรรคฟุนซินเปกและพรรคสมรังสีได้รับเวลาเพียง 10% และ 6% ตามลำดับ[29]
ในเดือนกันยายน 2017 หนังสือพิมพ์ Cambodia Daily ซึ่งเป็นที่รู้จักในแง่ของการทำข่าวเชิงสืบสวนและการรายงานข่าวที่วิพากษ์วิจารณ์ประเด็นคอร์รัปชั่น การละเมิดสิทธิมนุษยชน และการดำเนินงานของรัฐบาล ถูกบีบให้ปิดตัวลงหลังจากถูกเรียกเก็บภาษีเป็นเงิน 6.3 ล้านดอลลาร์[30] เชื่อกันว่าเรื่องนี้มีแรงจูงใจทางการเมืองอยู่เบื้องหลัง เมื่อคำนึงถึงผลลัพธ์ของการเลือกตั้งในปี 2013 และจังหวะเวลาก่อนหน้าการเลือกตั้งปี 2018[31]
นอกจากนั้น รัฐบาลยังหมายหัวสถานีวิทยุ Radio Free Asia (RFA) และ Voice of America (VOA) โดยมีเป้าหมายเพื่อกระชับเพิ่มการควบคุมสำนักข่าวอิสระที่วิพากษ์วิจารณ์พรรคประชาชนกัมพูชา หน่วยงานรัฐสั่งปิดสถานีวิทยุหลายสิบแห่งที่นำรายการของ RFA และ VOA มาออกอากาศ ทำให้เกิดการจำกัดการเข้าถึงข่าวสารที่เป็นกลางอย่างมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท[32] RFA ยุติการดำเนินงานภายในประเทศกัมพูชาไปเลย สืบเนื่องจากถูกกลั่นแกล้งรังควานและการข่มขู่เชิงกฎหมาย แต่ยังคงรายงานข่าวจากประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วน VOA ยังมีการดำเนินงานอยู่ แต่ถูกลดช่องทางการเผยแพร่ลง[33]
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2023 สำนักข่าว Voice of Democracy (VOD) ถูกสั่งปิด หลังจากรายงานเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง เกี่ยวกับกรณีที่ฮุน มาแณต ลูกชายของนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นพัวพันในบริบทเหตุแผ่นดินไหวครั้งร้ายแรงในตุรกีในปีเดียวกัน รายงานข่าวกล่าวว่า ฮุน มาแณตอนุมัติทุนช่วยเหลือภัยพิบัติมูลค่า 100,000 ดอลลาร์ ฮุน เซนอ้างว่า รายงานนี้ไม่ถูกต้องและกล่าวหาสำนักข่าว VOD ว่าเผยแพร่ข่าวเท็จที่ทำลายความมั่นคงของชาติ[34]
โครงการ National Internet Gateway (NIG) ก่อตั้งขึ้นในกัมพูชาเมื่อปี 2021 โครงการนี้เป็นเครื่องมือสำคัญที่สะท้อนความพยายามของรัฐบาลในการควบคุมและกำกับสภาพแวดล้อมของสื่อ ถึงแม้ยังไม่มีการบังคับใช้อย่างเต็มที่มาจนถึงปัจจุบัน NIG จะรวมศูนย์การไหลเวียนของข้อมูลข่าวสารในอินเทอร์เน็ตทั้งหมดผ่านเกตเวย์ที่รัฐควบคุม วิธีการนี้จะเอื้อให้รัฐบาลสามารถตรวจสอบ กลั่นกรอง และจำกัดการเข้าถึงเว็บไซต์ใดๆ ก็ได้[35] ซึ่งจะเป็นกลไกหนึ่งในการจำกัดการเผยแพร่ข่าวสารของสื่ออิสระและควบคุมการเผยแพร่ข้อมูล ดังนั้น ความสำคัญของโครงการจึงอยู่ที่ศักยภาพในการปิดกั้นจำกัดการเข้าถึงเนื้อหาที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล เท่ากับเป็นการสร้างเสริมความสามารถของรัฐในการปั้นแต่งชี้นำความคิดของประชาชน การควบคุมนี้จะมีผลกระทบเป็นพิเศษในช่วงเวลาที่มีความอ่อนไหวทางการเมือง เช่น การเลือกตั้ง การมีอำนาจครอบงำความคิดเห็นของสาธารณชนและจัดการเรื่องเล่าแม่บทต่างๆ ในสื่อ ย่อมส่งอิทธิพลต่อผลการเลือกตั้งโดยตรง
สรุป
นับตั้งแต่ปี 1997 เป็นต้นมา รัฐบาลที่มีพรรคประชาชนกัมพูชาเป็นแกนนำได้เซาะกร่อนบ่อนทำลายการเลือกตั้งแบบหลายพรรคอย่างร้ายแรง ในช่วงต้น การเซาะกร่อนนี้มักใช้ความรุนแรงที่เกี่ยวเนื่องกับการเมืองต่อบุคคลฝ่ายตรงข้าม แต่ลักษณะนี้ค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นกลยุทธ์ที่ซับซ้อนแนบเนียนกว่าเดิม อาทิ การแก้ไขกฎหมายการเลือกตั้ง การกลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง และการควบคุมสื่ออย่างเข้มงวด ผลที่ตามมาก็คือ ถึงแม้การเลือกตั้งในกัมพูชายังคงมีโครงสร้างเปลือกนอกเป็นแบบหลายพรรค แต่พรรคฝ่ายค้านกลับถูกปิดกั้นโอกาสในการแข่งขันที่แท้จริงอย่างเป็นระบบ การยักย้ายบงการเช่นนี้เอื้อให้พรรคประชาชนกัมพูชาสามารถตั้งตนเป็นพลังการเมืองหลักและสกัดกั้นกระบวนการภาคปฏิบัติตามระบอบประชาธิปไตย
ชุมชนนานาชาติได้ตอบโต้ต่อความเป็นไปนี้ด้วยการกล่าวประณามอย่างแพร่หลายและเรียกร้องให้เกิดความรับผิดรับชอบ แสดงความกังวลอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับเสรีภาพของสื่อและพื้นที่ที่หดแคบลงของผู้ไม่พอใจรัฐบาล ความพยายามดังกล่าวมีศูนย์กลางอยู่ที่การสนับสนุนและส่งเสริมการริเริ่มของภาคประชาสังคม อย่างไรก็ตาม ความพยายามเหล่านี้จะได้ผลแค่ไหน ยังไม่มีความแน่นอน อีกทั้งพรรคประชาชนกัมพูชายังคงขัดขืนต่อแรงกดดันจากภายนอกประเทศเพื่อรักษาอำนาจไว้ในมือต่อไป
Marc Piñol Rovira, Asia Centre
NOTES
[1] National Election Committee of Cambodia (NEC) (2023) ‘តារាងលទ្ធផលផ្លូវការនៃការបោះឆ្នោតជ្រើសតាំងតំណាងរាស្ត្រ នីតិកាលទី៧ ឆ្នាំ២០២៣ ថ្ងៃអាទិត្យ ទី២៣ ខែកក្កដា ឆ្នាំ២០២៣ [Official results of the 7th National Assembly Election 2023, Sunday, July 23, 2023]’, NEC, at: https://www.nec.gov.kh/khmer/content/7257.
[2] United States Institute of Peace (2000) ‘Final Act of the Paris Conference on Cambodia’, United States Institute of Peace, at: https://www.usip.org/sites/default/files/file/resources/collections/peace_agreements/final_act_10231991.pdf.
[3] Sorpong Peou (1998) ‘Hun Sen’s Pre-emptive Coup: Causes and Consequences’, Southeast Asian Affairs: 86–102, at: http://www.jstor.org/stable/27912198.
[4] Sorpong Peou (1998) ‘Cambodia in 1997: Back to Square One?’, Asian Survey 38(1): 69–74, at: https://doi.org/10.2307/2645469.
[5] Peter M. Manikas and Eric Bjornlund (1998) ‘Cambodia’s 1998 Elections: The Failure of Democratic Consolidation’, New England Journal of Public Policy 14(1): 145–160, at: https://scholarworks.umb.edu/nejpp/vol14/iss1/11.
[6] Bureau of Democracy, Human Rights, and Labor, US Department of State (1999) ‘Cambodia Country Report on Human Rights Practices for 1998’, US Department of State, at: https://1997-2001.state.gov/global/human_rights/1998_hrp_report/cambodia.html.
[7] Human Rights Watch (2003) ‘The Run-Up to Cambodia’s 2003 National Assembly Election: Political Expression and Freedom of Assembly under Assault’, Human Rights Watch, at: https://www.hrw.org/legacy/backgrounder/asia/cambodia/cambodia061203.pdf.
[8] Radio Free Asia’s Khmer Service (2008) ‘Khmer Journalist, Son, Shot Dead’, Radio Free Asia, at: https://www.rfa.org/english/news/cambodia/shooting-07122008181034.html.
[9] “Constitution of the Kingdom of Cambodia, 1993” (2008), Constitute Project, at: https://constituteproject.org/constitution/Cambodia_2008.
[10] Benjamin Lawrence (2022) ‘Cambodia’s constitutional amendments: Consolidating control and securing succession plans’, ConstitutionNet, at: https://constitutionnet.org/news/cambodias-constitutional-amendments-consolidating-control.
[11] Transparency International Cambodia (2013) Final Election Observation Report on cambodia’s 2013 National Election, Phnom Penh: Transparency International Cambodia, at: https://ticambodia.org/library/wp-content/files_mf/1438020883TICsReporton2013NationalElection.pdf.
[12] “Law on the Election of Members of the National Assembly” (1997), NEC, at: https://www.nec.gov.kh/english/sites/default/files/LEMNA.pdf.
[13] “Law on the Amendment of the Election Law” (2023), OpenDevelopment Cambodia, at: https://data.opendevelopmentcambodia.net/laws_record/law-on-the-amendment-of-the-election-law/resource/74985feb-ed3f-475f-b064-bbbf9d9284e5; Ros,
hea (2023) ‘Cambodia’s amended election law weakens opposition ahead of General Election’, Bower Group Asia, at: https://bowergroupasia.com/cambodias-amended-election-law-weakens-opposition-ahead-of-general-election.
[14] Sopheng Cheang (2023) ‘Cambodian lawmakers approve changes to election law that disqualify candidates who don’t vote’, AP News, at: https://apnews.com/article/cambodia-election-law-amendment-opposition-7c3b279d30dead4520966c64cc9ebbef
[15] NEC (2013) ‘លទ្ធផលនៃការបោះឆ្នោតជ្រើសតាំងតំណាងរាស្ដ្រ នីតិកាលទី៥ ឆ្នាំ២០១៣ (ថ្ងៃទី២៨ ខែកក្កដា ឆ្នាំ២០១៣) [Results of the 5th National Assembly Election 2013 (July 28, 2013)], NEC, at: https://www.nec.gov.kh/khmer/category/317.
[16] Pav Suy (2015) ‘Hun Sen slams Rainsy’s election accusation’, Khmer Times, at: https://www.khmertimeskh.com/58905/hun-sen-slams-rainsys-election-accusation.
[17] BBC News (2015) ‘Sam Rainsy: Wanted Cambodian opposition chief delays return’, BBC News, at: https://www.bbc.com/news/world-asia-34835121.
[18] BBC News (2016) ‘Cambodian activist Kem Ley shot dead in Phnom Penh’, BBC News, at: https://www.bbc.com/news/world-asia-36757370.
[19] Sun Narin (2017) ‘Rainsy’s resignation leaves questions lingering over Cambodian politics’, VOA Cambodia, at: https://www.voacambodia.com/a/rainsy-resignation-leaves-questions-lingering-over-cambodian-politics/3721241.html.
[20] Prak Chan Thul (2023) ‘Cambodian opposition figure Kem Sokha sentenced to 27 years of house arrest’, Reuters, at: https://www.reuters.com/world/asia-pacific/cambodian-opposition-figure-kem-sokha-sentenced-27-years-treason-2023-03-03.
[21] Office of the United Nations High Commissioner for Human Rights (OHCHR) (2023) ‘Cambodia: UN experts condemn verdict against opposition leader Kem Sokha’, OHCHR, at: https://www.ohchr.org/en/press-releases/2023/03/cambodia-un-experts-condemn-verdict-against-opposition-leader-kem-sokha.
[22] BBC News (2017) ‘Cambodia top court dissolves main opposition CNRP party’, BBC News, at: https://www.bbc.com/news/world-asia-42006828.
[23] NEC (2018) ‘លទ្ធផលផ្លូវការ នៃការបោះឆ្នោតជ្រើសតាំងតំណាងរាស្ត្រ នីតិកាលទី៦ ឆ្នាំ២០១៨(ថ្ងៃទី២៩ ខែកក្កដា ឆ្នាំ២០១៨) [Official results of the 6th National Assembly Election 2018 (July 29, 2018)]’, NEC, at: https://www.nec.gov.kh/khmer/category/186.
[24] AP (2023) ‘Cambodia’s only major opposition party is barred from running in July elections’, The Guardian, at: https://www.theguardian.com/world/2023/may/16/cambodias-only-major-opposition-party-is-barred-from-running-in-july-elections.
[25] Lors Liblib and Han Noy (2023) ‘Cambodia’s main opposition party disqualified from July’s national election’, VOA News, at: https://www.voacambodia.com/a/cambodia-s-main-opposition-party-disqualified-from-july-s-national-election/7095320.html.
[26] Reuters (2024) ‘Cambodian politician fined $1.5 mln for defamation after democracy criticism’, Reuters, at: https://www.reuters.com/world/asia-pacific/cambodian-politician-fined-15-mln-defamation-after-democracy-criticism-2024-07-25.
[27] Andrew Califf and Khuon Narim (2023) ‘“Irregularities” in Commune Election vote tallying raise concerns about national elections, NGO says’, CamboJA News, at: https://cambojanews.com/irregularities-in-commune-election-vote-tallying-raises-concerns-about-national-elections-ngo-says; Elaine Pearson (2024), Letter to the NEC Chairman Regarding Alleged Intimidation and Vote Buying in February 25, 2024 Senate Election, Human Rights Watch, at: https://www.hrw.org/news/2024/04/03/letter-nec-chairman-regarding-alleged-intimidation-and-vote-buying-february-25-2024.
[28] Sam Borin, Or Phearith, and Mayarith (2008) ‘Cambodia closes radio station’, Radio Free Asia, at: https://www.rfa.org/english/news/cambodia/cambodia_media-05302008113811.html.
[29] Hana Krupanská and Marc Livsey (2008) Cambodia National Assemblt Election 27th July 2008: Report on the International Election Observation Mission ANFREL, Bangkok, Thailand: Asian Network for Free Elections, at: https://anfrel.org/wp-content/uploads/2012/02/2008_cambodia.pdf.
[30] Kristi Eaton (2017) ‘The Cambodia Daily newspaper closes over disputed Tax Bill’, NBC News, at: https://www.nbcnews.com/news/asian-america/cambodia-daily-newspaper-closes-over-disputed-tax-bill-n799671.
[31] Aun Chhengpor (2017) ‘Shutdown of prominent Cambodia newspaper fuels fears of government crackdown ahead of elections’, VOA Cambodia, at: https://www.voacambodia.com/a/fearless-newspaper-closure-marks-declaration-of-post-truth-era-in-cambodia/4017429.html.
[32] Cambodian League for the Promotion and Defense of Human Rights (LICADHO) (2017) ‘Restricting critical voices on Cambodian airwaves’, LICADHO, at: https://www.licadho-cambodia.org/articles/20170909/148/index.html.
[33] Kann Vicheika (2017) ‘Radio Free Asia closes reporting hub, Cambodians miss “critical” coverage”, VOA Cambodia, at: https://www.voacambodia.com/a/radio-free-asia-closes-reporting-hub-cambodians-miss-critical-coverage/4033504.html.
[34] Kelly Ng (2023) ‘Cambodia’s Hun Sen shuts down independent media outlet Voice of Democracy’, BBC News, at: https://www.bbc.com/news/world-asia-64621595.
[35] Asia Centre (2021) Internet Freedoms in Cambodia: A Gateway to Control, Bangkok, Thailand; Asia Centre and International Center for Not-for-Profit Law, at: https://asiacentre.org/wp-content/uploads/Internet-Freedoms-in-Cambodia-A-Gateway-to-Control.pdf.