วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2021 กองทัพพม่า หรือ ตะมะดอ (Tatmadaw) ทำการรัฐประหาร ยึดอำนาจทางการเมืองของประเทศ อ้างความชอบธรรมในการกระทำครั้งนี้โดยกล่าวหาว่ามีการโกงอย่างขนานใหญ่ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2020[1] ในการเลือกตั้งดังกล่าว พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National League for Democracy—NLD ต่อไปจะเรียกว่าพรรคเอ็นแอลดี) ของอองซานซูจี ได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลาย กวาดที่นั่งในสภาไปถึง 920 ที่นั่ง (หรือ 82%) จากทั้งหมด 1,117 ที่นั่ง ในขณะที่พรรคสหสามัคคีและการพัฒนา (Union Solidarity and Development Party–USDP ต่อไปจะเรียกว่าพรรคยูเอสดีพี) ได้ที่นั่งในสภาเพียงแค่ 71 ที่นั่ง หรือ 6.4% ของจำนวนสมาชิกรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด[2]
หลังการรัฐประหาร ตะมะดอประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินสำหรับช่วงแรกเป็นระยะเวลาหนึ่งปี[3] เมื่อระยะเวลานี้สิ้นสุดลงในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 มีการขยายสถานการณ์ฉุกเฉินออกไปหกครั้ง ครั้งละหกเดือน ยืดการใช้สถานการณ์ฉุกเฉินไปจนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2024 หลังจากกองทัพทำรัฐประหารได้หกเดือน พลเอกอาวุโสมินอ่องหล่ายก็แต่งตั้งตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีของเมียนมาในวันที่ 1 สิงหาคม 2021 นี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งรัฐบาลรักษาการภายใต้การนำของเขา[4] จากนั้นเขายึดตำแหน่งประธานาธิบดีรักษาการในวันที่ 22 กรกฎาคม 2024 และขยายสถานการณ์ฉุกเฉินไปจนถึงวันที่ 31 มกราคม 2025[5] ตะมะดอให้เหตุผลในการยืดขยายสถานการณ์ฉุกเฉินนี้โดยอ้างว่า ความไม่สงบและความไม่มีเสถียรภาพที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องทำให้มีความเสี่ยงมากเกินไปที่จะจัดให้มีการเลือกตั้ง[6]
ถึงแม้มินอ่องหล่าย ในฐานะประธานสภาบริหารแห่งรัฐ (State Administration Council—SAC) เคยให้คำมั่นสัญญาว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้งโดยมีพรรคการเมืองเข้าร่วมหลายพรรคภายหลังการรัฐประหาร[7] แต่สภาบริหารแห่งรัฐกลับอาศัยการขยายสถานการณ์ฉุกเฉินมารื้อทำลายกรอบโครงการเลือกตั้งแบบหลายพรรคที่เคยมีอยู่ก่อนรัฐประหารลงอย่างเป็นระบบ ทั้งที่กรอบโครงดังกล่าวนี้มีพัฒนาการในทางที่ดีมาตั้งแต่ปี 2003
ความเป็นไปภายหลังการรัฐประหารปี 2021 สะท้อนให้เห็นว่า ตะมะดอพยายามดึงอำนาจคืนมาจากการปฏิรูประบอบประชาธิปไตยที่ทำให้อิทธิพลอำนาจของกองทัพลดน้อยถอยลง[8] กระบวนการดึงอำนาจคืนกลับนี้รวมถึงการหวนกลับมาควบคุมกรอบโครงการเลือกตั้งของประเทศ เซาะกร่อนบทบาทของกลุ่มพลังฝ่ายประชาธิปไตย เปิดทางให้ตะมะดอรวบอำนาจไว้ในมือด้วยการฉวยใช้ประโยชน์จากกรอบโครงกฎหมาย ปราบปรามกดขี่ผู้แสดงความไม่พอใจ และกีดกันพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม
แผนนำทางการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยของเมียนมา
ในปี 2003 กองทัพของเมียนมานำเสนอวิสัยทัศน์ใหม่เพื่อการปฏิรูปการเมืองในชื่อว่า “แผนนำทางสู่ระบอบประชาธิปไตยที่มีวินัยอันรุ่งเรือง” (Roadmap to Discipline-flourishing Democracy) กระบวนการเจ็ดขั้นนี้[9] ตั้งเป้าที่จะส่งเสริมความชอบธรรมของระบอบการปกครองทั้งภายในและระหว่างประเทศหลังจากเมียนมาอยู่ภายใต้การปกครองที่เข้มงวดของกองทัพมานานหลายทศวรรษ[10] แผนนำทางนี้วางเค้าโครงให้ประเทศค่อยๆ ก้าวเข้าสู่การวางรากฐานโครงสร้างการปกครองแบบประชาธิปไตย เริ่มต้นด้วยการรื้อฟื้นการประชุมสมัชชาแห่งชาติเพื่อวางหลักการรัฐธรรมนูญ กระบวนการนี้ค่อยๆ ก้าวหน้าจนกลายเป็นการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และจัดการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรมในท้ายที่สุด
สหประชาชาติ[11] แสดงความกังวลว่า แผนนำทางเจ็ดขั้นของกองทัพขาดการมีส่วนร่วมและความโปร่งใส เนื่องจากมันกีดกันพรรคการเมืองสำคัญและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียออกจากกระบวนการ ถึงแม้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เช่นนี้ แต่ตะมะดอก็เดินหน้าตามแผนนำทางและประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2008 ซึ่งเอื้อให้อำนาจของกองทัพยิ่งตั้งมั่นหยั่งรากอย่างมั่นคง[12] รัฐธรรมนูญฉบับนี้จัดสรรที่นั่งในรัฐสภาสัดส่วน 25% ให้แก่ผู้แทนของกองทัพที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ให้อำนาจกองทัพในการวีโต้การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทำให้กองทัพรักษาบทบาทครอบงำในการปกครองประเทศ ถึงแม้เปลือกนอกจะกล่าวอ้างว่ามีการปฏิรูปประชาธิปไตยก็ตาม[13]
ในเดือนพฤศจิกายน 2010 สภาสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐ (State Peace and Development Council–SPDC) หรือรัฐบาลทหารของเมียนมา จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้น แต่พวกเขาเผชิญการคว่ำบาตรจากพรรคเอ็นแอลดีและพรรคฝ่ายประชาธิปไตยพรรคอื่นๆ กลุ่มแนวร่วมเหล่านี้อ้างว่า สภาสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐไม่ยอมปฏิบัติเพื่อบรรลุเงื่อนไขที่เป็นหัวใจสำคัญต่อการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม เช่น ลดทอนอำนาจของกองทัพที่แฝงฝังอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2008 ซึ่งให้อำนาจตะมะดออย่างมากในการควบคุมรัฐสภา นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้นานาชาติเข้ามาตรวจสอบการเลือกตั้งและปล่อยนักโทษการเมืองทั้งหมด รวมถึงอองซานซูจี อันเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นต้องบรรลุก่อน พรรคการเมืองเหล่านี้จึงจะเข้าร่วมการเลือกตั้ง[14]
เนื่องจากขาดหลักประกันว่าจะมีการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม พรรคเอ็นแอลดีและพรรคฝ่ายประชาธิปไตยพรรคอื่นๆ จึงถอนตัวจากกระบวนการเลือกตั้ง ส่งผลให้พรรคยูเอสดีพีที่สนับสนุนกองทัพชนะที่นั่งในรัฐสภา 129 ที่นั่งจากทั้งหมด 224 ที่นั่งในการเลือกตั้งปี 2010 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งที่ได้รับการครหาอย่างกว้างขวางว่ามีความผิดปรกติมากมาย[15] ถึงแม้มีข้อครหาเช่นนี้ แต่เมียนมาก็ได้ชื่อว่ามีรัฐบาลพลเรือนนับตั้งแต่ปี 2011 อันเป็นการปูทางไปสู่การเลือกตั้งปี 2015
พัฒนาการของการเลือกตั้งภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปปี 2010
ชุมชนระหว่างประเทศตีความการเลือกตั้งทั่วไปปี 2010 ว่าเป็นขั้นที่ห้าในแผนนำทางเจ็ดขั้นของกองทัพเพื่อเดินหน้าสู่ระบอบประชาธิปไตยที่มีวินัย (disciplined democracy) ซึ่งมีการประชุมสภาของผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้ง และก่อร่างสร้างชาติประชาธิปไตยก้าวหน้าสมัยใหม่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่มีวินัย อันนับเป็นขั้นที่หกและเจ็ด[16]
กรอบโครงการเลือกตั้งได้รับการแก้ไขโดยรัฐบาลพลเรือนเมียนมาที่มีกองทัพหนุนหลัง ซึ่งนำโดยพลเอกเต้นเซน หัวหน้าพรรคยูเอสดีพี เพื่อเปิดทางให้พรรคอื่นเข้ามาร่วมแข่งขันในการเลือกตั้ง[17] ความเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยปรับปรุงให้มีการเปิดกว้างมากขึ้น โดยอาศัยกระบวนการลงทะเบียนผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งรายใหม่ และเพิ่มโอกาสให้พรรคการเมืองได้จดทะเบียนมากขึ้น รวมทั้งส่งเสริมความโปร่งใสด้วยการเพิ่มข้อกำหนดมากขึ้น เพื่อให้คณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งสหภาพเมียนมา (Union Election Commission—UEC) สามารถใช้ข้อบังคับที่เข้มงวดกว่าเดิมในการควบคุมการใช้เงินเพื่อหาเสียงทางการเมือง[18]
ผลลัพธ์ก็คือ พรรคเอ็นแอลดีสามารถฟื้นตัวและกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง มีการตั้งสาขาพรรคทั่วประเทศและขยายเครือข่ายกับสมาชิกทั่วทั้งประเทศ ในการเลือกตั้งซ่อมปี 2012 ซึ่งจัดขึ้นเพื่อทดแทนที่นั่งว่างในรัฐสภา 46 ที่นั่น (จากทั้งหมด 664 ที่นั่ง) และที่นั่งในสภาท้องถิ่นอีก 2 ที่นั่งในภาคพะโคและภาคอิรวดี พรรคเอ็นแอลดีกวาดเกือบทุกที่นั่ง ยกเว้นแค่สองที่นั่ง อีกทั้งอองซานซูจี ประธานพรรคเอ็นแอลดี ก็ชนะที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรด้วย[19]
ด้วยความนิยมในพรรคเอ็นแอลดีที่เพิ่มขึ้นและความเปลี่ยนแปลงในระบบการเลือกตั้ง การเลือกตั้งปี 2015 จึงเป็นการดวลกันระหว่างพรรคเอ็นแอลดีกับพรรคสหสามัคคีและการพัฒนา (พรรคยูเอสดีพี) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองสายทหารชาตินิยมล้นเกิน[20] ยิ่งกว่านั้น ความนิยมต่ออองซานซูจีในหมู่ประชาชนส่งผลให้กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ลงคะแนนเสียงให้พรรคเอ็นแอลดี ปัจจัยเหล่านี้ช่วยอธิบายว่า เพราะเหตุใดในปี 2015 พรรคเอ็นแอลดีจึงชนะการเลือกตั้งโดยกวาดที่นั่งในสภาสูง 135 ที่นั่ง และในสภาล่าง 255 ที่นั่ง ทั้งที่กองทัพกุมอำนาจสำคัญไว้เป็นส่วนใหญ่[21]
การเลือกตั้งปี 2015 นับเป็นจุดเปลี่ยนหัวเลี้ยวหัวต่อในการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยของเมียนมา[22] มีการปฏิรูปหลายประการที่เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้แก่โครงสร้างการเลือกตั้งเพื่อเตรียมการไปสู่การเลือกตั้งในปี 2020 อาทิ การขยายอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งสหภาพเมียนมาเพื่อสร้างหลักประกันให้เกิดความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือ ปรับปรุงกระบวนการลงทะเบียนของผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง และยกระดับกรอบโครงทางกฎหมายเพื่อรองรับการเลือกตั้งในภาคปฏิบัติให้ดียิ่งขึ้น[23] นอกจากนี้ มีการอบรมเชิงปฏิบัติการในระดับเทศบาลและระดับชาติ โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการจัดการการเลือกตั้งและวางรากฐานให้แก่กลไกการคลี่คลายข้อพิพาทอย่างมีประสิทธิผล[24]
การปฏิรูปหลายประการข้างต้น ประกอบกับความนิยมต่ออองซานซูจี การเติบโตทางเศรษฐกิจ และความขัดแย้งเชิงชาติพันธุ์ ทำให้พรรคเอ็นแอลดีกวาดที่นั่งได้ถึง 396 จาก 476 ที่นั่งในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2020 ในขณะที่พรรคสหสามัคคีและการพัฒนาที่เป็นฝ่ายกองทัพได้ที่นั่งเพียงแค่ 35 ที่นั่ง[25]
พัฒนาการของตัวบทกฎหมายการเลือกตั้งภายหลังรัฐประหาร (2021-2024)
ภายหลังการรัฐประหารปี 2021 กองทัพพยายามปรับโครงสร้างภูมิทัศน์การเลือกตั้งโดยบ่อนทำลายบทบาทของฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ส่งผลให้เกิดการผุกร่อนของระบอบประชาธิปไตยแบบหลายพรรคในประเทศ และกองทัพรวบอำนาจมาไว้ในมือ โดยเฉพาะภายหลังผลการเลือกตั้งปี 2015 และ 2020
ในเดือนมีนาคม 2021 หลังจากบังคับใช้กฎอัยการศึกผ่านคำสั่งคณะรัฐประหารที่ 1/2021,[26] 2/2021,[27] and 3/2021[28] รัฐบาลทหารมีคำสั่งตั้ง “ศาลพิเศษหรือศาลทหาร” เพื่อโอนถ่ายอำนาจฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการแก่ผู้บัญชาการกองทัพภาคภายใต้มาตรา 419 ของรัฐธรรมนูญปี 2008 วัตถุประสงค์ของการแต่งตั้งศาลเหล่านี้ก็เพื่อบังคับใช้และเร่งดำเนินคดีความมั่นคงต่อผู้แทนพรรคการเมืองและนักเคลื่อนไหวที่ถูกจับภายหลังการรัฐประหาร เมื่อมีการดำเนินคดีภายใต้การควบคุมของกองทัพ คดีเหล่านี้มักลงเอยด้วยการมีคำสั่งลงโทษอย่างรวดเร็วโดยปราศจากตัวแทนทางกฎหมายอย่างเพียงพอเหมาะสม[29]
ในเดือนพฤษภาคม 2021 ยูเต้นโซ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งสหภาพพม่าที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลทหาร ได้ออกมาเรียกร้องต่อสาธารณะให้ยุบสลายพรรคเอ็นแอลดี โดยกล่าวหาว่าพรรคเอ็นแอลดีวางแผนร้ายกระทำการผิดกฎหมายหลายประการเพื่อชนะการเลือกตั้งปี 2020 (The Irrawaddy, May 2021) ในเดือนกรกฎาคม 2021 กกต. ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลทหาร ก็สั่งให้ผลการเลือกตั้งปี 2020 เป็นโมฆะ อ้างว่าพรรคเอ็นแอลดีโกงและมีการปฏิบัติผิดระเบียบเพื่อชนะการเลือกตั้ง[30] ยิ่งกว่านั้น การข่มขู่ต่อสมาชิกพรรคเอ็นแอลดีก็ยิ่งทวีความรุนแรง มีทั้งการบุกค้นสำนักงาน[31] การจับกุม[32] และการสังหารสมาชิกพรรค[33]
ในเดือนพฤศจิกายน 2021 รัฐบาลทหารตั้งข้อหาโกงการเลือกตั้งต่อผู้นำระดับสูงของพรรคเอ็นแอลดี[34] ตั้งข้อหาความผิดต่อเจ้าพนักงานการเลือกตั้งที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลของพรรคเอ็นแอลดีที่ถูกยึดอำนาจ มีการจับกุมและตั้งข้อหาโกงการเลือกตั้งต่ออดีตประธาน กกต.[35] รวมทั้งคณะกรรมการการเลือกตั้งกว่า 100 คน[36] ในเดือนกรกฎาคม 2022 รัฐบาลทหารดำเนินคดีและสั่งปรับสมาชิก กกต. กว่า 2,400 คน ด้วยข้อหาต่างๆ หลายประการที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งปี 2020[37]
ในบริบทนี้ รัฐบาลทหารได้ทำการเปลี่ยนแปลงเชิงบริหารและกฎหมายเพื่อรื้อทำลายความก้าวหน้าในการเลือกตั้งและผลการเลือกตั้งปี 2020 มากขึ้นเรื่อยๆ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างน้อยสามประการที่พึงให้ความสนใจดังนี้
ประการแรก มีการเปลี่ยนจาก “ระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุด” (first-past-the-post—FPTP) มาเป็น “ระบบสัดส่วน” (proportional representation–PR) ตามข้อเสนอของผู้นำกองทัพและพรรคการเมืองสายทหาร[38] นี่คือประเด็นข้ออ้างที่รัฐบาลทหารหยิบยกขึ้นมาอย่างต่อเนื่องภายหลังการรัฐประหารในปี 2021 หลายฝ่ายมองว่าระบบสัดส่วนคือยุทธศาสตร์ในการบั่นทอนพรรคฝ่ายตรงข้าม โดยลดทอนศักยภาพในการได้เสียงข้างมากในสภา ต่อให้ได้รับคะแนนเสียงสูงสุดในรัฐก็ตาม การใช้ระบบนี้ควบคู่กับการแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมือง และการขาดไร้กลไกกำกับดูแลที่เป็นอิสระ ย่อมสร้างหลักประกันว่า พรรคการเมืองที่กองทัพหนุนหลังสามารถรักษาอิทธิพลอำนาจไว้ได้ในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต[39] การแบ่งเขตเลือกตั้งให้ใหญ่ขึ้นอาจทำให้กลุ่มประชากรที่มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งมีความเข้มข้นขึ้นหรือเจือจางกระจายตัว ซึ่งจะยิ่งทำให้สัดส่วนที่นั่งบิดเบี้ยวเป็นคุณต่อฝ่ายครองอำนาจ[40]
ประการที่สอง ในเดือนมกราคม 2023 รัฐบาลทหารของเมียนมาประกาศใช้กฎหมายขึ้นทะเบียนพรรคการเมือง (Political Party Registration Law) [41] แทนกฎหมายฉบับปี 2010 กฎหมายนี้ถูกแก้ไขในเดือนมกราคม 2024 โดยสภาบริหารแห่งรัฐ (SAC) ที่เรียกว่า “กฎหมายสภาบริหารแห่งรัฐฉบับที่ 15/2024” (State Administration Council Law No 15/2024) [42] กำหนดการขึ้นทะเบียนและการดำเนินงานของพรรคการเมืองให้เข้มงวดยิ่งกว่าเดิม กฎหมายฉบับใหม่นี้ประกอบด้วยเงื่อนไขต่างๆ ที่มีเป้าหมายเพื่อบั่นทอนพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามและขัดขวางความสามารถของพรรคเหล่านี้ที่จะแข่งขันในการเลือกตั้ง เงื่อนไขที่เห็นชัดที่สุดก็คือ การสั่งห้ามใครก็ตามที่ถูกลงโทษคดีอาญาหรือเคยต้องโทษจำคุกมิให้เข้าร่วมพรรคการเมือง นี่เป็นข้อกำหนดที่จะทำให้บุคคลสำคัญของพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามจำนวนมากขาดคุณสมบัติทันที ในบรรดาผู้ได้รับผลกระทบจากข้อกำหนดนี้ก็คืออองซานซูจีและอดีตประธานาธิบดีวี่น-มหยิ่นของพรรคเอ็นแอลดี เพราะทั้งสองถูกตัดสินลงโทษจากข้อหาที่มีการเมืองอยู่เบื้องหลังหลังจากการรัฐประหาร 2021 อองซานซูจีถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาคอร์รัปชั่น ละเมิดมาตรการกักตัวในช่วงโรคระบาดโควิด-19 และละเมิดกฎหมายคุ้มครองความลับ (Official Secrets Act) ส่วนวี่น-มหยิ่นถูกตัดสินลงโทษจากข้อหามีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย[43]
กฎหมายฉบับนี้บังคับใช้ข้อกำหนดด้านการจดทะเบียนพรรคที่เข้มงวด ให้เวลาพรรคการเมืองแค่ 60 วันในการจดทะเบียนกับเจ้าพนักงานการเลือกตั้งเพื่อหลีกเลี่ยงการยุบพรรค พอถึงวันที่เป็นเส้นตาย มีพรรคการเมืองถูกยุบถึง 40 พรรค รวมทั้งพรรคเอ็นแอลดี ซึ่งเลือกที่จะไม่ยอมไปจดทะเบียน[44] ตูน-มหยิ่น เลขาธิการของคณะกรรมการบริหารภาคย่างกุ้งของพรรคเอ็นแอลดี ยืนยันเรื่องที่พรรคไม่ยอมไปจดทะเบียน โดยอ้างถึงความไม่ชอบธรรมของหน่วยงานการเลือกตั้งที่สภาของกองทัพแต่งตั้งขึ้นมา[45] นอกจากนี้ กฎหมายยังกำหนดว่า พรรคการเมืองใดที่ถูกระบุว่าเป็นองค์กรก่อการร้าย ก็นับว่าขาดคุณสมบัติในการลงเลือกตั้ง กฎหมายข้อนี้ครอบคลุมถึง “รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ” (National Unity Government—NUG) ที่เป็นรัฐบาลพลัดถิ่นของพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งมีบทบาทต่อต้านรัฐบาลทหารและถูกรัฐบาลประกาศอย่างเป็นทางการว่าเป็นกลุ่มก่อการร้ายในเดือนกันยายน 2021[46] จึงเท่ากับถูกสกัดกั้นจากการมีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมือง
ประการที่สาม การจัดการเลือกตั้งแบบสับหลีก (staggered elections) เป็นอีกยุทธศาสตร์หนึ่งที่กองทัพนำมาใช้เพื่อสร้างหลักประกันให้อำนาจทางการเมืองของตน[47] การเลือกตั้งแบบสับหลีกคือการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติทีละส่วนในแต่ละช่วงเวลาที่กำหนด[48] วิธีการนี้เกิดมาจากการที่รัฐบาลทหารพยายามรักษาอำนาจควบคุมเหนือดินแดนที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของกองกำลังต่อต้านและกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธ ทำให้การจัดการเลือกตั้งทั่วทั้งประเทศพร้อมกันทำได้ยาก[49] กองทัพคาดหมายว่าวิธีการนี้จะช่วยกระจายที่นั่งในสภาให้แก่พรรคต่างๆ มากขึ้นและส่งผลดีต่อกองทัพและพรรคการเมืองที่เป็นพันธมิตร เอื้อให้พวกเขาได้ที่นั่งในรัฐสภามากกว่าในสมัยที่ใช้ระบบการเลือกตั้งก่อนหน้านี้[50]
พัฒนาการเหล่านี้ได้เซาะกร่อนบ่อนทำลายแผนนำทางหรือโรดแม็ปที่สภาบริหารแห่งรัฐ (SAC) วางรากฐานไว้เพื่อฟื้นฟูเสถียรภาพและการปกครองภายหลังรัฐประหาร ซึ่งเน้นย้ำสันติสุข การสานเสวนาทางการเมือง การฟื้นฟูเศรษฐกิจ การปรองดองแห่งชาติ และการเลือกตั้งในท้ายที่สุด[51]
ด้วยการกีดกันหรือจำกัดการมีส่วนร่วมของฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะพรรคเอ็นแอลดี และยักย้ายบงการกฎเกณฑ์ในการเลือกตั้ง รัฐบาลทหารสร้างหลักประกันให้ผู้แทนฝ่ายตนเท่านั้นที่จะมีโอกาสอย่างแท้จริงในการได้ที่นั่งในรัฐสภา[52] การนำระบบสัดส่วนมาใช้ และการขาดหายไปของกลุ่มฝ่ายตรงข้ามคนสำคัญ ยิ่งสร้างความแข็งแกร่งให้กลุ่มก๊วนฝ่ายสนับสนุนกองทัพเข้ามาครอบงำในรัฐสภา[53] อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรรับประกันเสถียรภาพทางการเมืองเพียงเปลือกนอกแบบนี้ได้ มันอาจซ้ำเติมขยายวงความขัดแย้งให้เกิดขึ้นแทน ดังที่กองกำลังต่อต้านและกลุ่มชาติพันธุ์ยังคงไม่ยอมรับการปกครองของรัฐบาลทหาร[54]
บทสรุป
นับตั้งแต่รัฐประหาร 2021 เป็นต้นมา ยุทธศาสตร์เบื้องต้นประการหนึ่งของกองทัพเมียนมาก็คือ พยายามทำให้ข้อกล่าวหาว่ามีการโกงการเลือกตั้งในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2020 ส่งเสียงดังไปถึงการรับรู้ของภูมิภาคอาเซียนและชุมชนระหว่างประเทศ กองทัพพยายามแสวงหาความชอบธรรมด้วยมาตรการเชิงกฎหมายและการบริหารประเทศโดยจัดการเลือกตั้งขึ้นมาใหม่ อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ต่างๆ ที่คลี่คลายออกมานับตั้งแต่รัฐประหารกลับชี้ให้เห็นแนวโน้มที่เป็นปัญหา อาทิ รัฐบาลทหารกำลังรื้อสลายความก้าวหน้าในระบอบประชาธิปไตยลงอย่างเป็นระบบ กดขี่ปราบปรามฝ่ายตรงข้าม และบ่อนทำลายมาตรฐานสากลในการเลือกตั้ง รวมถึงยักย้ายบงการกรอบโครงทางกฎหมายที่กำกับดูแลการเลือกตั้ง เซาะกร่อนบรรทัดฐานการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม รวมทั้งกีดกันการสังเกตการณ์การเลือกตั้งอย่างอิสระ ผลที่ตามมาก็คือ กองทัพกำลังก่อร่างระบบเลือกตั้งอีกแบบหนึ่งที่ปราศจากความสุจริตและเป็นธรรม เพื่อให้ตัวเองสามารถยืนยัน “ความชอบธรรม” ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมผ่านพรรคการเมืองที่เป็นตัวแทน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้แก่อำนาจควบคุมประเทศของตน
Sanjay Gathia, Asia Centre
NOTES
[1] San Yamin Aung (2020) ‘Myanmar military claims to find over 70,000 irregularities on voter lists’, The Irrawaddy, at: https://www.irrawaddy.com/election-2020/myanmar-military-claims-find-70000-irregularities-voter-lists.html; Myanmar News Agency (2021) ‘MoFA issues “Press Statement” on current situation of Myanmar’, The Global New Light of Myanmar (GNLM), at: https://www.gnlm.com.mm/mofa-issues-press-statementon-current-situation-of-myanmar.
[2] The Irrawaddy (2021) ‘Myanmar junta officially annuls NLD’s 2020 election win’, The Irrawaddy, at: https://www.irrawaddy.com/news/burma/myanmar-junta-officially-annuls-nlds-2020-election-win.html.
[3] Aljazeera (2021) ‘Full text of Myanmar army statement on state of emergency’, Aljazeera, at: https://www.irrawaddy.com/news/burma/myanmar-junta-officially-annuls-nlds-2020-election-win.html; “Martial Law Order 1/2021” (2021), GNLM, at: https://www.gnlm.com.mm/martial-law-order-1-2021.
[4] The Irrawaddy (2021) ‘Fears of another long dictatorship as Myanmar coup maker appoints himself PM’, The Irrawaddy, at: https://www.irrawaddy.com/news/burma/fears-of-another-long-dictatorship-as-myanmar-coup-maker-appoints-himself-pm.html.
[5] Myanmar International TV (MITV) (2022a) ‘NDSC announcement: Declaration of State of Emergency extended further 6 months’, MITV, at: https://www.myanmaritv.com/news/ndsc-announcement-declaration-state-emergency-extended-further-6-month; Myanmar International TV (MITV) (2022b) ‘NDSC announcement: Declaration of State of Emergency extended further 6 months’, MITV, at: https://www.myanmaritv.com/news/ndsc-announcement-declaration-state-emergency-extended-further-six-months; Eleven (2023) ‘NDSC decides to extend country’s State of Emergency by further six months’, Eleven, at: https://elevenmyanmar.com/news/ndsc-decides-to-extend-countrys-state-of-emergency-by-further-six-months; AP News (2023) ‘Myanmar’s military-led government extends state of emergency, forcing delay in promised election’, https://apnews.com/article/myanmar-military-state-of-emergency-extend-c860a06985f42265088b53c0ea80029e; AFP (2024) ‘Myanmar junta extends state of emergency by 6 months’, New Straits Times, at: https://www.nst.com.my/world/world/2024/01/1008253/myanmar-junta-extends-state-emergency-6-months; The Irrawaddy (2024) ‘Myanmar’s dictator extends Emergency Rule again, citing election preparations’, at: https://www.irrawaddy.com/news/politics/myanmars-dictator-extends-emergency-rule-again-citing-election-preparations.html.
[6] Reuters (2024) ‘Myanmar junta extends emergency rule amid escalating conflict’, Reuters, at: https://www.reuters.com/world/asia-pacific/myanmar-military-extends-emergency-rule-another-6-months-2024-07-31.
[7] Office of the United Nations High Commissioner for Human Rights (OHCHR) Myanmar Team (2021) ‘Myanmar in Crisis: Human Rights Situation, February 2021’, OHCHR, at: https://bangkok.ohchr.org/5902-2; VOA News (2021) ‘Myanmar Junta forms Caretaker Government; Min Aung Hlaing is Prime Minister’, VOA News, at: https://www.voanews.com/a/east-asia-pacific_myanmar-junta-forms-caretaker-government-min-aung-hlaing-prime-minister/6209015.html.
[8] Mikael Gravers (2021) ‘Making sense of Myanmar’s coup’, East Asia Forum, at: https://eastasiaforum.org/2021/02/02/making-sense-of-myanmars-coup; Office of the State Administration Council (nd.) ‘State Administration Council’, Office of the State Administration Council, at: https://sacoffice.gov.mm/en/stateadministration.
[9] Htet Aung (2007) ‘Burma’s rigged road map to democracy’, The Irrawaddy, at: https://www2.irrawaddy.com/article.php?art_id=8052.
[10] Government of Myanmar (2023) ‘Road Map to Democracy in Myanmar’, Government of Myanmar via Way Back Machine, at: https://web.archive.org/web/20101024033536/http://www.myanmar.gov.mm/Perspective/persp2003/8-2003/map.htm.
[11] United Nations (2003) ‘Myanmar’s seven-step peace process not inclusive, lacks timeline – Annan’, United Nations, at: https://news.un.org/en/story/2003/11/85072-myanmars-seven-step-peace-process-not-inclusive-lacks-timeline-annan.
[12] W. Elliot Bulmer (2022) A New Constitution for Myanmar: Towards Consensus on an Inclusive Federal Democracy, International Institute for Democracy and Electoral Assistanc (International IDEA), at: https://www.idea.int/sites/default/files/publications/a-new-constitution-for-myanmar.pdf
[13] Ibid.; Gilles Saphy and Michael Lidauer (2022) ‘Elections At a Crossing Point: Considerations for Electoral Design in Post-Coup Myanmar’, International IDEA, at: https://www.idea.int/sites/default/files/publications/elections-at-a-crossing-point-electoral-design-in-postcoup-myanmar.pdf.
[14] Myanmar Election Watch (nd.) ‘History of Elections in Myanmar’, Myanmar Election Watch, at: https://myanmarelectionwatch.org/en/history-of-elections-in-myanmar.
[15] Aung San Suu Kyi (2010) ‘Burmese election won by military-backed party’, The Guardian, at: https://www.theguardian.com/world/2010/nov/09/burma-usdp-wins-election.
[16] Nehginpao Kipgen (2009) ‘Reconciliation Myanmar needs’, The Korea Times, at: https://www.koreatimes.co.kr/www/news/opinon/2009/12/137_58118.html.
[17] BBC News (2015) ‘Timeline: Reforms in Myanmar’, BBC News, at: https://www.bbc.com/news/world-asia-16546688.
[18] Ibid.
[19] Michael F. Martin (2012) ‘Burma’s April Parliamentary By-Elections’, Congressional Research Service, US Congress, at: https://crsreports.congress.gov/product/pdf/R/R42438/8; Tin Maung Maung Than (2013) ‘Myanmar’s 2012 By-Elections: The Return of NLD’, Southeast Asian Affairs: 204–219, at: http://www.jstor.org/stable/23471145.
[20] Nakanishi Yoshihiro and Osada Noriyuki (2015) ‘The 2015 Myanmar General Election: A Historic Victory for the National League for Democracy’, Institute of Developing Economies, Japan External Trade Organization, at: https://www.ide.go.jp/library/English/Research/Region/Asia/pdf/201601_osada_en.pdf.
[21] Jonah Fisher (2015) ‘Myanmar’s 2015 landmark elections explained’, BBC News, at: https://www.bbc.com/news/world-asia-33547036.
[22] Avery Davis-Roberts (2017) Myanmar: 2015 General Elections Final Election Report, The Carter Center, at: https://www.cartercenter.org/resources/pdfs/news/peace_publications/election_reports/myanmar-2015-final.pdf.
[23] Ibid.
[24] International Foundation for Electoral System (nd.) ‘ADR Case Study: Myanmar’, International Foundation for Electoral System, at: https://www.ifes.org/adr-case-study-myanmar; Hsu Mon Aung (2018) ‘Reforming municipal elections in Myanmar’, International IDEA, at: https://www.idea.int/news/reforming-municipal-elections-myanmar.
[25] Union Election Commission (UEC) (2020) ‘၂၀၂၀ ပြည့်နှစ် ပါတီစုံဒီမိုကရေစီအထွေထွေရွေးကောက်ပွဲ ရလဒ်များ ထုတ်ပြန်ပြီးစီးကြောင်း အသိပေးကြေညာခြင်း [Announcement – Results of the 2020 Multi-party Democratic General Election]’, UEC, at: https://www.uec.gov.mm/news_preview_detail.php?action=news_detail&news_id=cC%2FMl34obsrydRAr00ukbCZSuEksJjy6RHXX9Uv2lyU%3D
[26] “Martial Law Order 1/2021” (2021), GNLM, at: https://www.gnlm.com.mm/martial-law-order-1-2021.
[27] “Martial Law Order 2/2021” (2021), GNLM, at: https://www.gnlm.com.mm/martial-law-order-2-2021.
[28] “Martial Law Order 3/2021” (2021), GNLM, at: https://www.gnlm.com.mm/martial-law-order-3-2021.
[29] Human Rights Watch (2023) ‘“Our Numbers Are Dwindling”: Myanmar’s post-coup crackdown on lawyers’, Human Rights Watch, at: https://www.hrw.org/report/2023/06/08/our-numbers-are-dwindling/myanmars-post-coup-crackdown-lawyers.
[30] The Irrawaddy (2021) ‘Myanmar junta officially annuls NLD’s 2020 election win.
[31] Reuters (2021) ‘Myanmar’s NLD says offices raided in “unlawful acts”, computers, documents seized’, Reuters, at: https://www.reuters.com/world/asia-pacific/myanmars-nld-says-offices-raided-unlawful-acts-computers-documents-seized-2021-02-03.
[32] RFA Burmese (2023) ‘Nearly 2,000 NLD party members jailed under Myanmar junta’, Radio Free Asia, at: https://www.rfa.org/english/news/myanmar/nld-09272023165502.html.
[33] The Irrawaddy (2023) ‘Myanmar’s ousted NLD says 93 members killed, 1,200 detained by junta’, The Irrawaddy, at: https://www.irrawaddy.com/news/burma/myanmars-ousted-nld-says-93-members-killed-1200-detained-by-junta.html.
[34] Rebecca Ratcliffe (2021) ‘Myanmar: Aung San Suu Kyi charged with election fraud and “lawless actions”’, The Guardian, at: https://www.theguardian.com/world/2021/nov/16/myanmar-aung-san-suu-kyi-charged-with-election-and-lawless-actions.
[35] Ratcliffe (2021) ‘Myanmar: Aung San Suu Kyi charged with election fraud’.
[36] The Irrawaddy (2023) ‘Myanmar regime to charge 2020 election local officials’, The Irrawaddy, at: https://www.irrawaddy.com/news/burma/myanmars-ousted-nld-says-93-members-killed-1200-detained-by-junta.html.
[37] The Irrawaddy (2022) ‘Myanmar regime jails former election chief and his staff’, The Irrawaddy, at: https://www.irrawaddy.com/news/burma/myanmar-regime-jails-former-election-chief-and-his-staff.html.
[38] Myanmar Now (2021) ‘Myanmar coup leader considers shift to electoral system favoured by military’, Myanmar Now, at: https://myanmar-now.org/en/news/myanmar-coup-leader-considers-shift-to-electoral-system-favoured-by-military; U Win (2023) ‘Proportional Representation in Myanmar? A View from In-Country by U Win’, Opposition International, at: https://opposition.international/2023/01/31/proportional-representation-in-myanmar-a-view-from-in-country-by-u-win.
[39] Asian Network for Free Elections (ANFREL) (2022) ‘Myanmar’s junta switch to PR system beneficial only to them’, ANFREL, at: https://anfrel.org/myanmars-junta-switch-to-pr-system-beneficial-only-to-them; Lidauer (2022) ‘Elections At a Crossing Point: Considerations for Electoral Design in Post-Coup Myanmar’.
[40] Andrew Nachemsom and Frontier (2022) ‘Rigging the system: the junta’s PR makeover’, Frontier Myanmar, at: https://www.frontiermyanmar.net/en/rigging-the-system-the-juntas-pr-makeover.
[41] “Political Parties Registration Law” (2023), Myanmar Digital News, at: https://www.mdn.gov.mm/en/political-parties-registration-law.
[42] “ Law Amending the Political Parties Registration Law (State Administration Council Law No 15/2024)” (2024), Ministry of Information, at: https://www.moi.gov.mm/moi:eng/news/12913.
[43] Aljazeera (2022) ‘Myanmar court sentences ex-politician to 173 years in prison’, Aljazeera, at: https://www.aljazeera.com/news/2022/11/3/myanmar-court-sentences-ex-lawmaker-to-173-years-in-prison; RFA Burmese (2023) ‘Myanmar’s opposition party refuses to re-register under new junta law’, Radio Free Asia, at: https://www.rfa.org/english/news/myanmar/myanmar-party-refuses-02062023193308.html.
[44] Myanmar Election Watch (2024) ‘Updated: List of Political Parties Abolished by Myanmar Junta-Appointed Union Election Commission’, Myanmar Election Watch, at: https://myanmarelectionwatch.org/mm/news/updated-list-political-parties-abolished-dissolved-myanmar-junta-union-election-commission.
[45] RFA Burmese (2023) ‘Myanmar’s opposition party refuses to re-register under new junta law’.
[46] DW (2021) ‘Myanmar junta designates shadow government as “terrorists”’, DW, at: https://www.dw.com/en/myanmar-junta-designates-shadow-government-as-terrorist-group/a-57473057.
[47] Priscilla A. Clapp and Ye Myo Hein (2022) ‘In Myanmar, sham elections aren’t the path to stability’, United States Institute of Peace, at: https://www.usip.org/publications/2022/10/myanmar-sham-elections-arent-path-stability.
[48] Naw Gladys Maung Maung (2021) ‘Burma’s Electoral System Change and Proportional Representation’, Salween Institute for Public Policy, at: https://www.salweeninstitute.org/uploads/1/2/6/3/12630752/si-proportional-representation-gladys-eng-full.pdf.
[49] RFA Burmese (2024) ‘Myanmar junta commits to staggered 2025 election’, Radio Free Asia, at: https://www.rfa.org/english/news/myanmar/election-2025-08262024083618.html.
[50] Mi Kun Chan Non and Ashley South (2024) ‘Don’t fall for the fake election in Myanmar’, East Asia Forum, at: https://eastasiaforum.org/2024/10/11/dont-fall-for-the-fake-election-in-myanmar.
[51] Ministry of Information (MOI) (2021) ‘Five-Point Road Map of the State Administration Council’, MOI, at: https://www.moi.gov.mm/moi:eng/news/3631.
[52] Bangkok Post (2023) ‘Myanmar elections “likely” in 2025’, Bangkok Post, at: https://www.bangkokpost.com/world/2641903/myanmar-elections-likely-in-2025.
[53] Nu Tsen Mun (2020) ‘Electoral System at a Crossroads: Recalculation of the 2015 Election Results under the Proportional Representation System’,The Salween Institute for Public Policy, at: https://www.salweeninstitute.org/uploads/1/2/6/3/12630752/sipp_electrolsystem-at-a-crossroad-english.pdf; Transnational Institute (2020) ‘The 2020 General Election in Myanmar: A Time for Ethnic Reflection’, Myanmar Policy Briefing 24, Transnational Institute, at: https://www.tni.org/files/publication-downloads/myanmar_policy_briefing_24_the_2020_general_election_in_myanmar.pdf.
[54] Joshua Kurlantzick (2023) ‘War-torn Myanmar plans to hold elections: Will they have any effect?’, Council on Foreign Relations, at: https://www.cfr.org/article/war-torn-myanmar-plans-hold-elections-will-they-have-any-effect.